กลยุทธ์การลงทุนใน TFEX ปีกุน
การคาดการณ์แนวโน้มราคาแต่ละสินค้าในตลาด TFEX สำหรับปี 2562 มองว่าเป็นปีที่ท้าทายอย่างมาก เพราะทิศทางสินค้าอ้างอิงแต่ละวันเปลี่ยนแปลงเร็วและแรงกว่าอดีต หากคาดการณ์ผิดในวันที่ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวรุนแรงซึ่งส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยนอกประเทศ อาจทำให้เสียหายจากการลงทุนอย่างหนักได้
ผู้เขียนขอเล่าเป็นภาพกว้างจากการรวบรวมบทวิเคราะห์ของสำนักวิจัยต่างประเทศและในประเทศ ซึ่งความเห็นค่อนข้างไปในทิศทางเดียวกันว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัว หมายถึงสินค้าอ้างอิงที่เป็นสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น และสินค้าโภคภัณฑ์ที่สัมพันธ์กับภาวะเศรษฐกิจสูง เช่น น้ำมัน อาจไม่ดีนัก
แต่สินทรัพย์ที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งพักเงินชั้นดี เช่น ทองคำ จะมีความน่าสนใจมากขึ้น ซึ่งถ้าทิศทางราคาทองคำในตลาดโลกมีความชัดเจนเหมือนปี 2553 – 2555 ก็อาจทำให้ปริมาณการซื้อขายใน Gold Futures กลับมาคึกคักอีกครั้ง
มุมมองของฝ่ายวิจัย บล.ฟินันเซีย ไซรัส คาดว่าราคาทองคำโลกจะกลับขึ้นไปอยู่ในกรอบ 1,400 – 1,500 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ หรือประมาณ 20,500 – 21,500 บาทต่อบาททองคำ ซึ่งนอกจากจะได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจโลกและสหรัฐอเมริกาที่ชะลอตัว ยังได้แรงหนุนจากการซื้อทองคำเพื่อใช้เป็นทุนสำรองแทนดอลลาร์สหรัฐ ของธนาคารกลางจีน รัสเซีย และตุรกี
เพื่อถ่วงดุลอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศด้วย
อีกทั้ง ถ้าอิงจากสถิติในอดีต การพักตัวของราคาทองคำในรอบใหญ่ๆ จะใช้เวลาประมาณ 5 – 7 ปี รอบนี้พักมาแล้ว 6 ปี ถ้าจะบอกว่ารอบขาลงจะจบตรงนี้ก็คงไม่ผิดอะไร เพราะฉะนั้น การจับจังหวะเพื่อเก็งกำไรฝั่ง Long ใน Gold Futures, Mini Gold Futures, Gold Online, และ Gold-D จึงเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจไม่น้อย ซึ่ง Gold Online ถือเป็นทางเลือกในการเก็งกำไรที่ดี
เพราะไม่ต้องปวดหัวกับการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาท และสภาพคล่องระยะหลังก็เพียงพอสำหรับการเปิดสถานะของไม้ใหญ่ด้วย
ส่วนการวิเคราะห์แนวโน้มตลาดหุ้นไทยเพื่อกำหนดกลยุทธ์การเก็งกำไรใน SET50 Index Futures และ Single Stock Futures ผู้เขียนมองสวนทางกับตลาดหุ้นต่างประเทศ เพราะบ้านเรามีการเลือกตั้งและมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งตามสถิติหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นในปีที่มีการเลือกตั้งเฉลี่ย 13% (Y-Y)
อีกทั้ง หุ้นที่ผลประกอบการผิดคาดก็ได้ถูกทำโทษจากแรงขายของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศไปมากแล้ว ทำให้ปีนี้นักลงทุนเริ่มต้นด้วยความคาดหวังที่ไม่สูง ซึ่งประเด็นนี้สำคัญเพราะถ้ามีปัจจัยบวกมาสะกิดนิดเดียว หุ้นจะขึ้นแรงทันที แต่ถ้ามีปัจจัยลบมากดดันเพิ่มเติม หุ้นจะไม่ลงมาก เนื่องจากชินชากับข่าวลบอยู่แล้ว
และสุดท้าย ปัจจัยที่ทำให้มั่นใจต่อหุ้นไทย คือ หุ้นไทยอยู่ในระดับที่ไม่แพง P/E Ratio ประมาณ 13 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี และ 10 ปีย้อนหลัง ซึ่งอยู่ที่ระดับ 17 – 18 เท่า จึงประเมินว่า Downside หลังจากนี้จะไม่เยอะ ทำให้การยืนฝั่ง Short ในภาพใหญ่จะเริ่มดูเสียเปรียบมากขึ้น
ฝ่ายวิจัย บล.ฟินันเซีย ไซรัส คาดเป้า SET Index ปีนี้ที่ 1,800 จุด กลยุทธ์หลักของการลงทุนใน SET50 Index Futures จึงควรเป็นฝั่ง Long ส่วน Single Stock Futures ตัวที่น่าสนใจเก็งกำไรฝั่ง Long คือตัวที่มีหุ้นอ้างอิงที่มีกำไรและกระแสเงินสดที่มีการเติบโตชัดเจน ขณะที่ ตัวที่น่าสนใจเก็งกำไรฝั่ง Short คือตัวที่มีหุ้นอ้างอิงที่กำไรและกระแสเงินสดมีโอกาสชะลอต่อเนื่อง
นักลงทุนบางท่านอาจมีความเห็นต่างจากผู้เขียนว่ามุมมองข้างต้นกว้างเกินไปสำหรับการตัดสินใจลงทุนใน TFEX ถ้านักลงทุนเทรดอยู่คงทราบดีว่าแค่มองถูกทางวันต่อวันก็ยากแล้ว ทำไมต้องมองกว้างแบบนี้ให้วุ่นวายด้วย
ผู้เขียนขออธิบายว่าการมองเฉพาะภาพวันต่อวันทำให้ถูกครอบงำจากอารมณ์ตลาดได้ง่ายมาก และแทบไม่ได้ใช้ทักษะในการวิเคราะห์ข้อมูลทางการลงทุนอย่างรอบด้าน เพราะการที่ตัดสินใจเปิด/ปิดสถานะตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ ราคาน้ำมัน ค่าเงิน และยอดซื้อขายต่างชาติ รวมถึงกราฟทางเทคนิค จนเป็นกิจวัตร แล้วประสบความสำเร็จในการลงทุนก็ดีไป
แต่ส่วนใหญ่จะไม่เป็นแบบนั้น พอผิดทาง 2 – 3 ครั้งติดต่อกันจะเกิดอาการเมาหมัด ยิ่งเร่งเปิดสถานะเพื่อเอาทุนคืน กลับยิ่งขาดทุนจนต้องออกจากตลาดไปในที่สุด
วิธีเดียวที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดนี้ได้ คือ การถอยออกมามองในภาพกว้าง นั่นคือการวางแผนการลงทุน แน่นอนว่าทิศทางการลงทุนที่เกิดขึ้นจริงอาจไม่เป็นอย่างที่วางแผนไว้ แต่ถ้าผิดทางแล้วกลับมาทบทวนและวางแผนใหม่ทั้งภาพแคบและภาพกว้าง จะทำให้ไม่เร่งเปิดสถานะเร็วเกินไป การคิดอย่างรอบคอบมากขึ้นและประสบการณ์ที่สูงขึ้น
จะทำให้ท่านหาทางหนีทีไล่ได้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยลดโอกาสที่จะเจ็บหนักจากการลงทุนใน TFEX ได้ ณัฐมล ทิ้งท้าย
