ถัวเฉลี่ยหรือทีเดียว ได้หมดถ้าสดชื่น
มีการตั้งคำถามกันมานานเกี่ยวกับวิธีการลงทุน ระหว่างการใช้วิธีการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (Dollar Cost Averaging: DCA) กับลงทุนแบบครั้งเดียว (Lump Sum) แบบไหนจะดีต่อใจมากกว่า คำตอบที่ได้ยินมาก็ยังเหมือนเดิม นั่นคือ ลงทุนวิธีไหนก็ได้แต่ขอให้มีวินัย มีความเหมาะสมกับสไตล์การลงทุนตัวเอง เข้าอกเข้าใจเรื่องความเสี่ยงและผลตอบแทน
เท่านี้จะประสบความสำเร็จมากกว่าล้มเหลว
แนวคิดพื้นฐานของวิธีการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน คือ การใช้เงินลงทุนในจำนวนเท่าๆ กันด้วยการกำหนดช่วงเวลาลงทุนที่แน่นอน เป็นการลงทุนสม่ำเสมอและระยะยาว เช่น หักเงินออกจากเงินเดือน 1,000 บาททุกๆ สิ้นเดือนเพื่อไปลงทุนหุ้นหรือกองทุนรวม ส่วนนักลงทุนที่มีวินัยสุดๆ จะกำหนดด้วยตัวเองว่าในแต่ละเดือนจะแบ่งเงินไปลงทุนเท่าไร
เช่น ซื้อกองทุนรวมเดือนละ 2,000 บาท
สำหรับแนวคิดพื้นฐานวิธีการลงทุนแบบครั้งเดียว คือ ใช้เงินจำนวนหนึ่งเพื่อลงทุนในจังหวะเวลาที่ประเมินแล้วว่าเหมาะสม (Market Timing) และมีความมั่นใจว่าในอนาคตราคาสินทรัพย์ที่ลงทุนจะปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น วันที่ 1 มกราคม 2560 ลงทุนหุ้น XYZ จำนวน 2 แสนบาท ที่ราคา 10 บาท โดยคาดหวังว่า 12 เดือนข้างหน้า ราคาหุ้นจะปรับขึ้นไปที่ระดับ 18 บาท
มาถึงคำถามสุดคลาสสิกที่ว่าระหว่างลงทุนแบบถัวเฉลี่ยกับแบบครั้งเดียว วิธีไหนดีที่สุด ประเด็นนี้คุณกิตติคุณ ธนรัตนพัฒนกิจ นักวิเคราะห์ข้อมูลอาวุโส บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) จำกัด บอกว่าแล้วแต่เป้าหมาย การยอมรับความเสี่ยงหรือความมั่นใจของนักลงทุน เพราะทั้งสองวิธีมีข้อดีแตกต่างกัน
ข้อดีของการลงทุนแบบถัวเฉลี่ย
- ฝึกวินัยการออม การลงทุน เพราะการที่แบ่งเงินไปลงทุนทุกๆ เดือนไม่ขาดแม้แต่เดือนเดียวเป็นระยะเวลานาน เช่น 10 ปี หมายถึง การมีวินัยด้านการเงิน เข้าแนวคิดที่ว่า รายจ่าย = รายรับ – เงินออม (ออมก่อนใช้)
- เฉลี่ยต้นทุนในการลงทุน นักลงทุนไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ สัปดาห์หน้า ปีหน้า หรือ 5 ปี 10 ปีข้างหน้า ภาวะตลาดจะเป็นอย่างไร ดังนั้น การลงทุนถัวเฉลี่ยสม่ำเสมอทำให้ต้นทุนการลงทุนเฉลี่ยลดต่ำลงไปกับการลงทุนที่สม่ำเสมอด้วย ที่สำคัญยังทำให้มั่นใจว่าได้ซื้อหุ้นจำนวนมากที่ราคาต่ำในช่วงตลาดขาลง เหมาะกับภาวะตลาดที่มีความผันผวนและเป็นขาลง
- ไม่พลาดโอกาสในการลงทุน เพราะนักลงทุนจะได้ลงทุนทุกๆ เดือน ไม่ว่าภาวะตลาดจะเป็นอย่างไร
- ตัดอารมณ์ออกจากการตัดสินใจลงทุน เมื่อวางแผนการลงทุนทุกๆ เดือน จะทำให้นักลงทุนตัดอารมณ์ความรู้สึกออกไปได้ เช่น เดือนนี้ตลาดปรับลดลงก็ได้ลงทุน เดือนถัดไปตลาดปรับขึ้นก็ยังได้ลงทุน เป็นการลดความเครียดหรือความกังวลได้เป็นอย่างดี
นอกเหนือจากนี้ คุณกิตติคุณ กล่าวว่าการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยเหมาะกับนักลงทุนรายย่อย มนุษย์เงินเดือน เพราะรูปแบบการลงทุนจะใช้เงินไม่มาก “เดือนละพันบาทก็ลงทุนได้” อีกทั้ง เหมาะกับการลงทุนที่มีเป้าหมายเพื่อเก็บเงินไว้ใช้หลังวัยเกษียณ
“หลายๆ คนอาจจะบอกว่ายังไม่คุ้นเคยกับการลงทุนแบบถัวเฉลี่ย ความจริงแล้วเราคุ้นเคยกันดี นั่นคือ การออมผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ถ้าเป็นข้าราชการก็ออมผ่าน กบข.) หรือบางคนยังให้สหกรณ์ของบริษัทที่ทำงานหักเงินจากบัญชีเงินเดือน นี่คือ รูปแบบการลงทุนแบบถัวเฉลี่ย เพียงแต่ไม่รู้ตัวเท่านั้น
ข้อดีการลงทุนแบบครั้งเดียว
- ได้ผลตอบแทนสูงกว่าเมื่อตลาดอยู่ในภาวะขาขึ้น เมื่อนักลงทุนมั่นใจว่าภาวะตลาดเป็นขาขึ้นและอากให้การลงทุนได้ผลตอบแทนเป็นกอบเป็นกำ การลงทุนแบบครั้งเดียวจะได้ผลตอบแทนที่ดี แต่อาจจะต้องใช้เงินลงทุนจำนวนค่อนข้างสูง
มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) ทำการคำนวณผลตอบแทนการลงทุนในหุ้น โดยใช้ผลตอบแทนรวมของตลาด เปรียบเทียบการลงทุนทั้ง 2 วิธีเป็นรายปี รวมระยะเวลา 11 ปี ตั้งแต่มกราคม ปี 2545 – ธันวาคม ปี 2555 ซึ่งการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยจะลงทุนเดือนละ 10,000 บาท ทุกต้นเดือน และการลงทุนแบบครั้งเดียวจะลงทุน ณ วันแรกของปี 120,000 บาท
“ผลสรุปพบว่าการลงทุนแบบครั้งเดียวให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยในทุกปี ยกเว้นปี 2547 และปี 2551 ซึ่งเป็นช่วงตลาดขาลง ที่การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยชนะ
- มีวินัยการลงทุน เช่น วันที่ 1 มกราคมปี 2560 จะลงทุนหุ้น XYZ ด้วยเงิน 1 แสนบาท หมายความว่า เมื่อถึงเวลาก็ต้องลงทุน เพราะบางคนเมื่อมีเงินก้อนอาจจะผลัดวันประวันพรุ่ง เช่น นำเงินก้อนนี้ไปท่องเที่ยวก่อน หรือบอกกับตัวเองว่าเดี๋ยวค่อยลงทุน
- ฝึกการจับจังหวะตลาด เทคนิคการลงทุนแบบครั้งเดียวให้ได้ผล คือ การจับจังหวะแม่นยำ ดังนั้น นักลงทุนต้องมีข้อมูลข่าวสาร การวิเคราะห์ ประสบการณ์การลงทุนสูง ที่สำคัญจะต้องมีความแม่นยำในจังหวะขายด้วย
นอกเหนือจากนี้ การลงทุนแบบครั้งเดียวจะประสบความสำเร็จก็ต่อเมื่อภาวะตลาดเป็นขาขึ้น เพราะราคาสินทรัพย์จะเติบโตต่อไปเรื่อยๆ และการลงทุนแบบครั้งเดียวจะมีต้นทุนต่ำกว่าแบบถัวเฉลี่ยในภาวะตลาดเป็นขาขึ้น
“จากการศึกษาพบว่าหากตลาดเป็นช่วงขาขึ้นและประเมินได้อย่างแม่นยำว่าตลาดจะปรับขึ้นแน่นอน การลงทุนแบบครั้งเดียวจะประสบความสำเร็จ ณัฐมล กล่าว