ลงทุนหุ้นปีนี้ต้องเน้นหุ้นพื้นฐาน

ถ้าเอ่ยถึงนักลงทุนที่คร่ำหวอดกับตลาดหุ้นไทยมายาวนาน คงไม่มีใครไม่รู้จัก “เสี่ยยักษ์” วิชัย วชิรพงษ์ เมื่อไหร่ที่เขาให้สัมภาษณ์ นักลงทุนรุ่นใหม่ควรฟังเพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับสไตล์การลงทุนของตัวเอง และล่าสุดปลายเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา เขาให้สัมภาษณ์กับสรพล วีระเมธีกุล นักกลยุทธ์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) บอกเล่าประสบการณ์ลงทุนหุ้นไทยปี 2561
พร้อมคำแนะนำการลงทุนในปีนี้

“จะว่าไปแล้ว การลงทุนในตลาดหุ้นก็เป็นแบบนี้ ความผันผวนถือเป็นเรื่องปกติ ซึ่งปีที่ผ่านมา (2561) ก็เช่นกัน ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเลย” เสี่ยยักษ์บอก “ตลอด 30 กว่าปีที่ผมลงทุนหุ้น หุ้นไทยก็เป็นแบบนี้มาตลอด มีขึ้นมีลง มีกำไรมีขาดทุน มีดี และมีช่วงแย่ๆ”

สล็อตออนไลน์

เสี่ยยักษ์เล่าต่อว่า ปีที่ผ่านมานักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่ลงทุนหุ้นไทยมีผล “ขาดทุน” ซึ่งเป็นไปตามภาวะการลงทุน โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา หุ้นไทยแพงขึ้นมาโดยตลอด รวมถึงปีที่ผ่านมายังอยู่ในโซนแพง ดังนั้น เมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง ราคาต้องปรับฐาน และปีที่ผ่านมาเสี่ยยักษ์เห็นกฎธรรมชาติของการลงทุน 3 ทฤษฎี

  1. ทฤษฎีใครลุกทีหลัง จ่ายเงิน หมายถึง ซื้อหุ้นในต้นทุนสูง เมื่อตลาดหุ้นเป็นขาลงก็ยังถือต่อไป เช่น นักลงทุนกลุ่มแรกซื้อหุ้น XYZ ราคา 5 บาท จากนั้นราคาขยับขึ้นเป็น 5.50 บาท นักลงทุนกลุ่มที่สองเห็นว่าน่าสนใจก็เข้ามาซื้อที่ 5.50 บาท ส่วนนักลงทุนกลุ่มแรกก็ขายทำกำไร นักลงทุนกลุ่มที่สามมั่นใจว่าราคาหุ้นตัวนี้น่าจะปรับขึ้นต่อไปได้ก็เข้ามาซื้อ สมมติราคาขยับขึ้นไป 6.50 บาท
    นักลงทุนกลุ่มที่สี่ก็กระโดดเข้ามาซื้อ แต่พอมาถึงตรงนี้ราคาหุ้น XYZ เริ่มนิ่งและค่อยๆ ปรับลดลง แต่นักลงทุนกลุ่มที่สี่ยังมั่นใจว่าราคาจะไปต่อได้ก็ถือต่อ แต่สุดท้ายก็ติดดอย
  2. ทฤษฎีนกกระจาบ นายพรานหยิบปืนมายิงนกกระจาบ 1 นัด โดนแค่บางตัว แต่ส่วนใหญ่รอดเปรียบเหมือนในช่วงหุ้นไทยเป็นขาขึ้น นักลงทุนส่วนใหญ่ได้กำไรแต่ก็มีบางคนขาดทุน ส่งผลให้ตลาดหุ้นยังสามารถปรับขึ้นต่อไปได้ เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ยังมั่นใจ และเมื่อถึงจุดที่ตลาดหุ้นเริ่มมีแนวโน้มปรับลดลง เช่น จาก 1,750 จุด ลดลงเรื่อยๆ จนถึง 1,600 จุด โดยราคาหุ้นบางตัวปรับลดลงเกิน
    50% ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่รับรู้ มีความกังวล และขาดความมั่นใจ เปรียบเหมือนฝูงกระจาบทั้งฝูง ถูกนายพรานเอาแหครอบและไม่มีตัวไหนรอด

jumboslot

  1. ทฤษฎีต้มกบ ช่วงตลาดยังอยู่ในบรรกาศที่ดีและการซื้อขายคึกคัก นักลงทุนมีความสุขกับการทำกำไร จนกระทั่งลืมเรื่องความเสี่ยง เปรียบเหมือนกบทุกตัวในบ่อที่มีอาหารกินดีอยู่ดี อุณหภูมิน้ำเหมาะแก่การอาศัย อยู่มาวันหนึ่ง น้ำในบ่อเริ่มเน่าเสียและลดลงเรื่อยๆ กบที่รู้ตัวว่าจะเป็นอันตรายก็กระโดดหนีไปหาที่อยู่ใหม่ แต่มีบางตัวที่ลืมตัวและเชื่อว่าน้ำในบ่อยังอาศัยอยู่ได้ก็จะไม่ไปไหน
    เปรียบเหมือนช่วงตลาดหุ้นเริ่มปรับลดลง นักลงทุนที่เข้าใจและประเมินสถานการณ์ได้ดีก็จะขายหุ้นลดพอร์ต ส่วนนักลงทุนที่ยังมั่นใจว่าตลาดหุ้นยังไปต่อได้ก็จะถือหุ้นต่อไป บางคนซื้อหุ้นตอนดัชนี 1,750 จุด หมายความว่าตอนนี้ติดดอย

สำหรับผลการลงทุนของเสี่ยยักษ์ในปีที่ผ่านมา เขาบอกว่า “โชคดี” เพราะหุ้นที่ลงทุนในสัดส่วนสูง ทำกำไรได้ในช่วงต้นปี “หลังจากนั้นเมื่อกราฟหุ้นไทยมีแนวโน้มเป็นขาลง ผมลดพอร์ตลงต่อเนื่อง และครึ่งหลังของปีแทบจะไม่ซื้อขายหุ้นเลย จะว่าไปแล้ว การลงทุนในตลาดหุ้นก็เป็นแบบนี้ ความผันผวนถือเป็นเรื่องปกติ ปีที่ผ่านมาก็เช่นกัน ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเลย”

สำหรับบรรยากาศการลงทุนในปีนี้ เสี่ยยักษ์บอกว่าเนื่องจากความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น เพราะโลกเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก จึงไม่สามารถประเมินไปล่วงหน้าได้หลายๆ ปีได้อีกต่อไป ตลาดหุ้นก็เช่นเดียวกัน ไม่สามารถคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำว่าปีถัดไปจะเป็นอย่างไร

เครดิตฟรี

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจะรู้อยู่อย่างหนึ่งว่า ถ้าตลาดปรับลดลงมาถึงจุดๆ หนึ่ง เช่น จุดที่ไม่รับข่าวร้ายอีกแล้ว จุดนั้นก็จะกลายเป็นจุดกลับตัวขึ้นได้ หรือราคาหุ้นในดวงใจปรับลดลงจนถึงจุดน่าลงทุนก็ตัดสินใจซื้อได้ พูดง่ายๆ นักลงทุนรอเวลาซื้อจุดดังกล่าว

“ตลอด 6 – 8 เดือนที่ผ่านมา นักลงทุนที่มีประสบการณ์ในตลาดหุ้นไทย ต่างลดพอร์ตหุ้นลงและถือเงินสดเพื่อรอเวลาเหมาะสมในการกลับเข้าลงทุน” เสี่ยยักษ์ บอก

เสี่ยยักษ์ให้ข้อสังเกตว่าจากนี้ไปประเภทหุ้นในตลาดหุ้นไทยจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่

  1. หุ้นบลูชิปหรือหุ้นปัจจัยพื้นฐาน
  2. หุ้นขนาดกลาง
  3. หุ้นเก็งกำไร

สล็อต

โดยหุ้นบลูชิปหรือหุ้นปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง ยังคงมีความโดดเด่นและได้รับความน่าสนใจจากนักลงทุน ส่วนหุ้นขนาดกลางมีแนวโน้มลดบทบาทลง หมายถึง นักลงทุนให้ความสนใจลดลง ส่วนหุ้นเก็งกำไร เริ่มหายไปจากตลาด ศึกษาข้อมูลก่อนการลงทุน

You may also like...