จากยุค “แสวงหาผลตอบแทน” สู่ยุค “คุ้มครองเงินต้น”
หลายปีมานี้ ยุคแห่งการ Search for Yield หรือการแสวงหาผลตอบแทน ได้สะท้อนให้เห็นพฤติกรรมของนักลงทุนทั่วโลกที่คาดหวังในการสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น จนนำไปสู่การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์การลงทุนมากมาย แต่วันนี้ยุคใหม่กำลังจะเริ่มต้นแล้ว นั่นคือ “ยุคคุ้มครองเงินต้น”
เดือนตุลาคม 2561ที่ผ่านมา เป็นช่วงที่ตลาดหุ้นโดยรวมปรับตัวลดลงภายในเดือนเดียวมากที่สุดในช่วงเกือบ 9 ปี ซึ่งถือเป็นสัญญานที่ไม่ค่อยดีนักสำหรับการลงทุนในระยะ 1 – 2 ปีข้างหน้า เพราะอาจจะสะท้อนมุมมองของนักลงทุนที่คาดการณ์ในเชิงลบ หรือหวาดวิตกในบางประเด็น เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจ ปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้นจากการตัดสินในของโดนัลด์
ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดยประเด็นทั้งหมดนี้อาจนำไปสู่การลงทุนในยุคใหม่ที่เรียกว่า “ยุคคุ้มครองเงินต้น” ก็เป็นได้
ขอต้อนรับสู่ยุคคุ้มครองเงินต้น
ช่วงประมาณ 3 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนได้ผ่านร้อนผ่านหนาวในยุคแสวงหาผลตอบแทนระดับสูง หรือ Search for yield มาพอสมควร แต่ในปีหน้า นักลงทุนอาจจะต้องเตรียมตัวให้พร้อม เพราะมีสัญญานเตือนบางอย่างที่สะท้อนถึงความเป็นไปได้ว่า “ยุคคุ้มครองเงินต้น” กำลังจะเข้ามาแทนที่ Search for yield
สัญญานเตือนนั้นคืออะไร
หนึ่งในสัญญานเตือนที่สำคัญของเรื่องนี้เป็นผลมาจากการขาดทุนของกองทุนประเภทที่ลงทุนทั่วโลก หรือ Global Fund ซึ่งจะพบได้ว่าในปี 2561 Global Fund มีแนวโน้มสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนทั่วโลกติดลบในรอบ 9 ปี เนื่องจากพอร์ตการลงทุนในตลาดหุ้นได้รับผลกระทบจากการที่ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง ขณะเดียวกันพอร์ตลงทุนในตลาดตราสารหนี้ก็ขาดทุนเช่นกัน
หลังจากที่ Bond Yield สหรัฐอเมริกา ขยับตัวขึ้นมาจากต้นปีอยู่ที่ 2.4% มาอยู่ที่ราว 3%
ดังนั้น ในปี 2561 นี้จึงเรียกได้ว่า Global Fund ขาดทุนคู่ครั้งแรกในรอบ 9 ปี ทำให้การลงทุนในปีหน้าอาจจะไม่คึกคัก รวมถึงนักลงทุนต้องเริ่มปรับไปใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า Capital Protection ด้วย นั่นคือ ทำอย่างไรก็ได้ แต่ต้องอย่าให้ขาดทุนต้นทุน
กลยุทธ์คุ้มครองเงินต้น
สำหรับกลยุทธ์ที่สามารถช่วยคุ้มครองเงินต้นได้ก็คือ การลงทุนระยะสั้นในลักษณะ “ลงซื้อ ขึ้นขาย” เพื่อที่จะล็อกกำไรไว้ก่อน เพราะสาเหตุที่นักลงทุนในตลาดขาดทุนเป็นจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งมาจากการใช้กลยุทธ์ “ถือยาว” มากจนเกินไป ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ภาวะตลาดปัจจุบัน จำเป็นที่จะต้องพิจารณาใช้กลยุทธ์ให้สอดคล้องตามความเหมาะสมของสถานการณ์
หุ้นไทยยังมีเสน่ห์หรือไม่ ในยุคคุ้มครองเงินต้น
หากประเมินข้อดีของตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันยังคงถือว่ามีความน่าสนใจ เนื่องจากสามารถให้อัตราเงินปันผลเฉลี่ยได้ถึง 3% และมีอัตรากำไรต่อหุ้น (P/E Ratio) อยู่ที่ประมาณ 15 เท่า เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้ว เช่น ตลาดหุ้นฮ่องกง ที่ให้อัตราเงินปันผลราว 4% เยอรมัน 3.4% ตลาดหุ้นยูโรสต็อก 3.91% ก็ถือว่าตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับที่น่าพอใจ
อย่างไรก็ตาม หากต้องการเลือกลงทุนหุ้นที่คาดว่าจะสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับตลาดโดยรวม (Outperform) แนะนำให้ลงทุนหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนภาคเอกชนและการลงทุนสาธารณะ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่มีรายได้จากการทำธุรกิจภายในประเทศ รวมถึงหุ้นที่ได้รับปัจจัยบวกจากโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) โดยหุ้นกลุ่มเหล่านี้จะ Outperform ถึงปี 2562
คำถามที่นักลงทุนต้องตอบตัวเองให้ได้ ก็คือ พร้อมแล้วหรือยังสำหรับการลงทุนยุคคุ้มครองเงินต้น เป็นที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน
