เทรดเดอร์ – วีไอ ใจต้องนิ่ง เมื่อตลาดเปลี่ยนทิศ

“เมื่อหุ้นไทยเปลี่ยนทิศ และยิ่งตลาดเปลี่ยนทิศอย่างรวดเร็ว” เพราะนักลงทุนต้องวิเคราะห์อย่างรอบด้าน ทั้งความเสี่ยงระดับมหภาค, ความเสี่ยงระดับอุตสาหกรรม และความเสี่ยงของบริษัทที่ลงทุน

คำถามที่ตามมาติดๆ คือ ต้องทำอย่างไรก่อนตัดสินใจ “ซื้อ” “ถือ” หรือ “ขาย”

สล็อตออนไลน์

สไตล์เทรดเดอร์

โดยทั่วไปนักลงทุนสายเทคนิคอล (Trader) จะมีความเชื่อว่าตลาดถูกขับเคลื่อนด้วยความกลัวและความโลภ อีกทั้งข่าวสารหรือข้อมูลต่างๆ ได้ถูกสะท้อนอยู่ในราคาของสินทรัพย์ประเภทนั้นไปแล้ว ทำให้การวิเคราะห์การลงทุนให้ความสำคัญกับการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น, มูลค่าการซื้อ – ขาย (Volume) หรือตัวบ่งชี้ต่างๆ (Indicators) โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเติบโตของบริษัทหรือมูลค่าบริษัท

อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ตลาดผันผวนก็อาจทำให้นักลงทุนหวั่นไหวหรืออาจลืมนึกถึงหลักการที่วางแผนไว้ไปชั่วขณะหนึ่ง ดังนั้น ลองมาย้ำเตือนกันถึงหลักการลงทุนกันอีกครั้ง

  1. Method หรือกลยุทธ์การลงทุน โดยการใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเข้ามาช่วย (Technical Analysis) ซึ่งอาจแบ่งกลยุทธ์ได้ว่า
  • กลยุทธ์การเข้าซื้อ นักลงทุนสไตล์เทรดเดอร์จะเข้าลงทุนเมื่อราคาหุ้นหรือราคาสินทรัพย์เกิดสัญญาณซื้อ ซึ่งอาจเกิดได้หลายรูปแบบ เช่น แนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคาเปลี่ยนเป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) หรืออาจเข้าลงทุนเมื่อเกิดสัญญาณกลับตัวขึ้น (Reversal Pattern) รวมถึงเมื่อราคาปรับตัวลดลงมาสู่ระดับแนวรับ (Support) หรือระดับราคาที่เมื่อสินทรัพย์ลงทุนปรับตัวลดลงมา
    ชนระดับราคาดังกล่าวแล้ว ราคาของสินทรัพย์มักจะกลับตัวขึ้น
  • กลยุทธ์การถือ นักลงทุนสายเทคนิคอลจะถือสินทรัพย์ลงทุนในกรณีที่การเคลื่อนไหวของราคาเป็นไปในทิศทางที่คาดการณ์ไว้ หรือเพราะระดับราคาในปัจจุบัน รวมถึงตัวบ่งชี้ต่างๆ (Indicators) ยังไม่ส่งสัญญาณให้ขายสินทรัพย์ดังกล่าวออกไป
  • กลยุทธ์การขายออก โดยส่วนมากแล้วนักลงทุนสไตล์นี้จะขายทำกำไร (Take Profits) หรือขายตัดขาดทุน (Stop Loss) เมื่อการเคลื่อนไหวของราคาไม่เป็นไปในทิศทางที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งอาจมาจากการเปลี่ยนแนวโน้มจากขาขึ้นเป็นขาลง, เกิดสัญญาณกลับตัวลง (Reversal Pattern) ราคาปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับแนวต้าน (Resistance) หรือเป็นระดับราคาที่เมื่อสินทรัพย์ลงทุนปรับตัว
    ขึ้นมาชนที่ระดับราคาดังกล่าว ราคาหุ้น (ราคาสินทรัพย์ต่างๆ) มักจะปรับตัวลดลง

jumboslot

  1. Mind หรือจิตวิทยาการลงทุน นักลงทุนสไตล์เทรดเดอร์จะต้องควบคุมอารมณ์ของตัวเองอยู่เสมอ รวมถึงไม่มีอคติในการตัดสินใจลงทุน เนื่องจากต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงของตลาดอยู่เสมอ ซึ่งอาจทำให้การขึ้น – ลง ของราคาสินทรัพย์มีผลต่อสภาพจิตใจและอารมณ์ของนักลงทุนได้
  2. Money Management หรือการบริหารเงินลงทุน นักลงทุนจำเป็นที่จะต้องวางแผนการลงทุนให้ดี ควรมีแผนการลงทุนล่วงหน้าก่อนการซื้อ – ขายทุกครั้ง เช่น จะลงทุนที่ระดับราคาใด จำนวนกี่หุ้น คาดหมายกำไรเท่าไหร่ ยอมรับขาดทุนมากน้อยขนาดไหนและจะตัดขาดทุนเมื่อใด เป็นต้น

สำหรับกรอบระยะเวลาการลงทุน ส่วนใหญ่มองว่านักลงทุนสายเทคนิคอลต้องเป็นนักลงทุนระยะสั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วกรอบระยะเวลาการลงทุนไม่ได้ถูกจำกัดไว้แต่อย่างใด ขึ้นอยู่กับความชำนาญของนักลงทุนแต่ละราย อาจเป็นนักลงทุนระยะสั้น หรืออาจเป็นนักลงทุนระยะยาวก็ได้

อีกทั้ง นักลงทุนสไตล์นี้ ไม่มีระดับราคาใดที่ “แพง” หรือ “ถูก” เกินไป มีแต่ระดับราคาที่คาดว่าจะปรับตัว “ออกข้าง” “เพิ่มขึ้น” หรือ “ลดลง”

ตั้งหลักกับการลงทุนแบบวีไอ

เมื่อตั้งใจแล้วว่าจะเป็น “นักลงทุนเน้นปัจจัยพื้นฐาน” หรือ “นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า” (Value Investor : VI) จะมองการลงทุนในหุ้นเปรียบเสมือนการลงทุนในธุรกิจ ให้น้ำหนักกับการวิเคราะห์พื้นฐานของกิจการ และมูลค่าที่เหมาะสมของหุ้นในรายบริษัทมากกว่าการคาดการณ์ภาวะตลาดโดยรวมหรือทิศทางภาวะเศรษฐกิจ ดังนั้น อย่าปล่อยให้ภาวะตลาดที่ผันผวนกดดันให้คุณอ่อนไหว

“ซื้อ”

  1. ซื้อเมื่อเห็นว่ากิจการมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่ดี และมีความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน เช่น
  • วิเคราะห์งบการเงิน ก่อนที่จะซื้อหุ้นต้องวิเคราะห์งบการเงิน ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการบ่งบอกฐานะทางการเงินและความสามารถในการทำกำไรของบริษัท ด้วยตัวเลขในงบการเงินและอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ เช่น ROE, ROA, Gross Profit Margin, Net Profit Margin, DE Ratio เป็นต้น
  • วิเคราะห์การเติบโตของกำไร (Earnings Growth) ก่อนลงทุนต้องประเมินกลยุทธ์ที่บริษัทใช้ในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตของกำไรในอนาคตของบริษัทได้ เช่น การขึ้นราคาสินค้า, การลดต้นทุน, การขยายสาขา, การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หรือการเข้าสู่ตลาดใหม่ๆ
  • วิเคราะห์ความสามารถในการแข่งขัน (Competitive Advantage) วิเคราะห์ว่าธุรกิจที่ลงทุนมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง มีความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนั้นๆ ซึ่งทำให้บริษัทเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญกิจการจะต้องไม่ถูก Disrupt จากเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะเข้ามาก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วด้วย

เครดิตฟรี

  1. ซื้อเมื่อพบว่าราคาหุ้นของบริษัท (Market Price) ถูกกว่ามูลค่าที่เหมาะสม (Intrinsic Value) นักลงทุนควรประเมินมูลค่าของหุ้นตัวนั้นๆ ก่อนที่จะซื้อลงทุนทุกครั้ง เพราะถึงแม้หุ้นจะมีคุณภาพดีแค่ไหน แต่อาจจะเป็นการลงทุนที่แย่ได้หากซื้อมาในราคาแพงเกินไป
  2. ซื้อเมื่อหุ้นตัวนั้นมี “ตัวเร่ง” ที่จะทำให้ราคาหุ้นวิ่งเข้าสู่มูลค่าที่ควรจะเป็นได้ หุ้นที่ลงทุนควรมี story ที่ตลาดอาจหันมาให้ความสนใจกับหุ้นตัวนี้มากขึ้นในอนาคต เช่น กิจการมีแนวโน้มประกาศซื้อหุ้นคืน, มีการประกาศควบรวมกิจการ หรือมีการขายสินทรัพย์มูลค่ามหาศาลที่บริษัทถือครองอยู่ ซึ่งจะเป็นการปลดล๊อคมูลค่าให้กับบริษัทได้ เป็นต้น ข้อดีของการซื้อหุ้นที่มีตัวเร่ง คือ ช่วยให้นักลงทุน

    ม่ต้องถือหุ้นรอนานเกินไปและเสียโอกาสในการลงทุนอื่นๆ

“ถือ”

หากภาวะตลาดโดยรวมมีความผันผวน แต่นักลงทุนตรวจสอบแล้วว่าเหตุผลที่ตัดสินใจซื้อหุ้นในตอนแรก รวมถึงพื้นฐานของหุ้นไม่เปลี่ยนแปลง ควรถือลงทุนระยะยาวในหุ้นนั้นต่อ ที่สำคัญอย่าลืมว่า การถือเงินสดก็นับเป็นการลงทุนแบบหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันให้ผลตอบแทนเพียงแค่ 1 – 2% เท่านั้น นักลงทุนจะเลือกลงทุนในหุ้นเป็นส่วนใหญ่มากกว่า หากประเมินแล้วว่าได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับความเสี่ยง
เช่น ได้รับเงินปันผล 4 – 5% ต่อปีอย่างต่อเนื่อง โดยประเมินแล้วว่ากิจการมีโอกาสจ่ายเงินปันผลระดับนี้ไปได้อีกยาวนาน

“ขาย”

  1. ขายเมื่อราคาแพงเกินมูลค่าที่เหมาะสม เช่น หุ้นซื้อ – ขายกันที่ P/E Ratio ที่สูงกว่าอัตราการเติบโตเป็น 1.5 – 2 เท่าขึ้นไป, หุ้นมี P/E Ratio สูงเกิน 50 เท่า แต่บริษัทไม่ใช่หุ้นประเภทฟื้นตัว หุ้นวัฎจักรหรือหุ้นที่มีฐานกำไรเล็กมากและมีโอกาสเติบโตก้าวกระโดด เป็นต้น ซึ่งความแม่นยำของการประเมินมูลค่าที่เหมาะสมนี้ขึ้นอยู่กับมุมมองของนักลงทุนและความเข้าใจที่มีต่อกิจการนั้น
  2. ขายเมื่อพื้นฐานกิจการแย่ลง เช่น กำไรสุทธิมีการเติบโตช้าลงหรือมีการลดลงอย่างต่อเนื่อง, ผลิตภัณฑ์ของบริษัทเริ่มไม่เป็นที่นิยมเหมือนเดิมและบริษัทไม่สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ที่น่าสนใจหรือขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดใหม่ๆ ได้, กิจการถูก Disrupt จากเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือบริษัททำธุรกิจอยู่ในอุตสาหกรรมที่ถดถอยและไม่สามารถพลิกฟื้นเพื่อสร้างการเติบโตกลับมาได้
  3. ขายเมื่อเจอหุ้นตัวที่มีความน่าสนใจมากกว่า (มีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิสูงกว่า / Valuation ถูกกว่า) เพื่อเป็นการ Switching เข้าลงทุนหุ้นตัวอื่นที่มี Upside มากกว่า

สล็อต

จะสังเกตได้ว่า เหตุผลที่นักลงทุนวีไอตัดสินใจขายหุ้น จะไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “ต้นทุนที่ซื้อมา” ว่าเป็นเท่าไหร่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “ภาวะตลาด” ว่าดีหรือไม่ แต่ขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ “พื้นฐานของกิจการ” และ “มูลค่าที่เหมาะสม” ว่าเป็นอย่างไร

ทั้งหมดนี้ เราต้องการจะย้ำให้คุณมั่นใจอีกครั้งว่า คุณกำลังวางแผนการลงทุนได้อย่างถูกต้อง ตามสไตล์ Trader — VI เมื่อตลาดหุ้นเปลี่ยนทิศ จะได้ตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง การผันผันของตลาดหุ้นนักลงทุนต้องศึกษาให้ดี

You may also like...