เก็บหุ้นเข้าพอร์ต ตามเทรนด์โลก
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โลกกำลังมีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างหลักๆ 4 ด้าน ได้แก่ การบริโภคอิ่มตัว การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างการผลิต โครงสร้างการเพิ่มกำไรเปลี่ยนแปลง และผลกระทบจากสงครามการค้า ดังนั้น การเลือกลงทุนก็ต้องล้อไปตามการเปลี่ยนแปลงของโลก
การบริโภคทั่วโลกอิ่มตัว ทำให้แนวโน้มการเติบโตเศรษฐกิจ (จีดีพี) ลดต่ำลง โดยฐานจีดีพีของโลกที่ใหญ่ขึ้น การอุปโภคบริโภคของประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนาที่มีรายได้ต่อหัวซึ่งกำลังอิ่มตัว และผลจากสงครามการค้า ทำให้อัตราการเติบโตของจีดีพีโลกใน 3 – 5 ปีข้างหน้า มีแนวโน้มลดลง
โครงสร้างการผลิตเปลี่ยนแปลง ด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคที่ใช้เทคโนโลยีมากขึ้น การขาดแคลนแรงงาน สภาพสังคมที่เข้าสู่สังคมสูงวัย ขณะเดียวกัน การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ขยายตัวซึ่งทำให้มีการลงทุนใหม่ในระบบสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น ธนาคารพาณิชย์อยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจด้วยการใช้ดิจิทัลมากขึ้น หรือโครงการลงทุนในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก
(EEC) โครงการรถไฟสายสีต่างๆ รวมถึงการลงทุนรองรับธุรกิจและสังคมดิจิทัล
ความสามารถในการทำกำไรจะเพิ่มขึ้นจากนวัตกรรม โดยการวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน รวมถึงการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ เป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มกำไร เนื่องจากฐานลูกค้าไม่ได้ขยายขึ้นมาก ดังนั้น การเติบโตจึงต้องมาจากการขยายส่วนแบ่งตลาด
สงครามการค้า ถือเป็นประเด็นทางเศรษฐกิจและการเมือง โดยสหรัฐอเมริกายังคงเดินหน้าใช้มาตรการกีดกันทางการค้ากับประเทศต่างๆ ขณะที่ประเทศขนาดใหญ่ โดยเฉพาะจีน ก็มีเป้าหมายที่จะขึ้นเป็นผู้นำอันดับ 1 ของโลกในหลายๆ ด้าน ดังนั้น สงครามรอบนี้น่าจะไม่จบเร็วๆ นี้
เมื่อเป็นเช่นนี้ อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายวิจัย บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) แนะนำให้นักลงทุนเลือกหุ้นลงทุนตามธีมของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง
ธีม Mega Project อาภาภรณ์เชื่อว่าการลงทุนในโครงสร้างขั้นพื้นฐานขนาดใหญ่ รวมถึงโครงการ EEC จะมีต่อเนื่องใน 5 ปีข้างหน้า “เป็น Key Growth สำคัญของเศรษฐกิจไทย ไม่ว่ารัฐบาลใหม่จะเป็นใครก็จะเดินหน้าโครงการลงทุนเหล่านี้ปีละ 2 – 3 แสนล้านบาท ดังนั้น นักลงทุนควรเลือกหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง เช่น รับเหมาก่อสร้าง
นิคมอุตสาหกรรม ระบบขนส่งมวลชน และธนาคารพาณิชย์” อาภาภรณ์ แนะนำ
ธีม Digital& Robotic ผู้คนในโลกปัจจุบันใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวันและเพื่อการทำงานมากขึ้น และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยในปี 2559 ขนาดเศรษฐกิจดิจิทัลไทยอยู่ที่ 2.7% ของจีดีพี ขณะที่จีนและสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ระดับ 6.5% ของจีดีพี ส่วนด้านการใช้หุ่นยนต์ในอุตสาหกรรม ไทยใช้อยู่ 45 ตัวต่อแรงงาน 1 หมื่นคน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลกซึ่งอยู่ที่ 74 ตัว โดยเกาหลีใต้ใช้มากที่สุด 631 ตัว
“ทำให้ขนาดเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยยังสามารถเติบโตได้อีกมาก นักลงทุนควรเลือกหุ้นลงทุนที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของเทคโนโลยีเข้าพอร์ต เช่น ธุรกิจสื่อสาร ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์” อาภาภรณ์ แนะนำ
ธีม Aging Society ไทยเป็นประเทศต้นๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่เข้าสู่สังคมสูงวัย ดังนั้น ความต้องการใช้สินค้าและบริการสำหรับผู้สูงวัยจะเพิ่มมากขึ้น “ธุรกิจที่จะขยายตัวดี เช่น โรงพยาบาล สถานบริบาลผู้สูงอายุ สถานออกกำลังกาย อาหาร เครื่องดื่มสุขภาพ ยาและเวชภัณฑ์ เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์” อาภาภรณ์ แนะนำ
ธีม Electric Vehicle อาภาภรณ์ประเมินว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า จะเห็นรถยนต์ไฟฟ้าในไทยเพิ่มมากขึ้น โดยในปี 2560 นอร์เวย์มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าสูงถึง 39.2% ของยอดขายรถยนต์ใหม่ ตามด้วยไอซ์แลนด์ 11.7% สวีเดน 6.3% เยอรมัน 1.6% ส่วนในเอเชียที่โดดเด่น คือ จีนและญี่ปุ่นที่ระดับ 2.2% และ 1.0% ตามลำดับ
“หุ้นที่น่าสนใจคือ ธุรกิจที่เกี่ยวกับชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ไฟฟ้าและอุปกรณ์” อาภาภรณ์ แนะนำ
ธีม Tourism Recovery ไทยมีทรัพยากรที่เหมาะกับธุรกิจท่องเที่ยว ดังนั้น ถ้าการท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวได้ จะทำให้เม็ดเงินไหลเข้ามาอีกครั้ง “หุ้นที่น่าสนใจ คือ โรงแรม สนามบิน”
โดยรวมแล้วอาภาภรณ์แนะนำให้ “เลือกซื้อหุ้นที่อยู่ใน Positive Mega Trend ที่มีโอกาสเติบโตได้ดีในระยะยาว” โดยประเมินว่าในปัจจุบัน Valuation หุ้นไทย เข้ามาในโซนที่น่าจูงใจ “เป็นจุดทยอยซื้อ ส่วนปีนี้มองว่าหุ้นไทยจะซื้อขายกันที่ P/E Ratio 15.5 เท่า ดัชนีหุ้นอยู่ที่ระดับ 1,780 จุด การเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ประมาณ 6.7% และถ้ามองเชิงเทคนิคคอล หุ้นไทยยังเป็น
Sideways down เว้นแต่กลับขึ้นไปยืนเหนือ 1,750 จุดได้อย่างมั่นคง จึงมีโอกาสกลับเป็นขาขึ้นได้อีกครั้ง” การลงทุนมีความเสี่ยงควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการลงทุน