ลงทุนอย่างสบายใจ กำไรอย่างยั่งยืน

โดยปรกติแล้ว สิ่งหนึ่งที่มักจะทำให้เรามีความสุขเสมอมาตั้งแต่เด็ก ก็คือ การได้มองเห็นตัวเลขในบัญชีเงินฝากธนาคารของเราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่เมื่อวันที่เรามีเงินฝากในธนาคารมากขึ้นจนถึงจุดๆ หนึ่ง ทุกคนก็มักจะมีคำถามผุดขึ้นมาในหัวตัวเองเสมอว่า “ควรจะนำเงินไปลงทุนอะไรดี”

ในโลกของการเงินมีทรัพย์สิน 4 อย่างที่คนนิยมลงทุนกันมากที่สุดคือ หุ้น พันธบัตร เงินฝาก และทองคำ ซึ่งถ้าหากเราลองลงทุนในทรัพย์สินทั้ง 4 อย่างนี้ (ในประเทศไทย) ด้วยเงิน 1,000 บาทเท่าๆ กัน เมื่อผ่านไป 36 ปี (2518-2554) เราจะพบว่า

สล็อตออนไลน์

หุ้นให้ผลตอบแทนสูงสุด โดยเงินลงทุน 1,000 บาท ที่ลงทุนในตลาดหุ้นเมื่อปี 2518 จะเติบโตขึ้นประมาณ 58 เท่า เป็น 59,674 บาท ในปี 2554

พันธบัตรให้ผลตอบแทนเป็นอันดับสอง โดยเงินลงทุน 1,000 บาท ในปี 2518 จะโตขึ้นประมาณ 23 เท่า เป็นเงิน 24,367 บาท ในปี 2554

เงินฝาก ให้ผลตอบแทนประมาณ 9 เท่า

ทองคำให้ผลตอบแทนระยะยาวต่ำที่สุด โดยให้ผลตอบแทนประมาณ 7.5 เท่า

ดังนั้น ถ้าหากต้องการให้เงินลงทุนมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมากกว่าเงินฝากและทองคำในระยะยาวแล้ว ทรัพย์สินที่เป็นทางเลือก ก็คือ หุ้น หรือพันธบัตร ซึ่งการลงทุนในหุ้น ถึงแม้จะให้ผลตอบแทนสูงกว่าแต่ก็มีความผันผวนมากกว่า บางปีอาจจะได้กำไรสูงมาก ในขณะที่บางปีก็อาจจะขาดทุนได้มากเช่นเดียวกัน

ส่วนการลงทุนในพันธบัตร ผลตอบแทนจะค่อนข้างสม่ำเสมอจากดอกเบี้ยที่พันธบัตรจ่ายมาให้ทุกๆ ปี แต่ในระยะยาวแล้วความมั่นคงนี้ก็แลกมาด้วยความมั่งคั่งที่น้อยกว่าการลงทุนในหุ้นอย่างมาก

จัดสัดส่วนการลงทุนอย่างไรดี

โดยทั่วไปตามหลักการบริหารเงิน ก็จะมีการจัดสัดส่วนการลงทุนระหว่างหุ้นและพันธบัตรให้แต่ละคนตามความเสี่ยงที่แต่ละคนรับได้ เช่น 80/20, 70/30, 60/40, 50/50 เป็นต้น

jumboslot

สมมติ ลงทุนในหุ้นและพันธบัตรอย่างละ 50/50 ในท้ายที่สุดก็ยังจะได้รับผลตอบแทนราวๆ 42 เท่า จากเงิน 1,000 บาท กลายเป็น 42,020 บาท ซึ่งจะได้รับผลตอบแทนน้อยลง 30% เมื่อเทียบกับการเอาเงินไปลงทุนในหุ้นทั้งหมดเลย (จาก 59,674 เหลือ 42,020) โดยที่ความเสี่ยงลดลงไป 50% (ปีที่ตลาดหุ้นขาดทุน 30% พอร์ตที่ลงทุนแบบ 50/50 จะขาดทุนไม่เกิน 15%)

มาถึงตรงนี้น่าจะเริ่มสนุกและเห็นวี่แววการลงทุนของตัวเองว่าควรจะนำเงินไปลงทุนในทรัพย์สินอะไร (หุ้น+พันธบัตร) ในสัดส่วนเท่าไหร่ ที่จะเพิ่มมูลค่าเงินลงทุนไปเรื่อยๆ ในความเสี่ยงที่รับได้

แน่นอนว่า สำหรับใครที่มีเวลาลงทุนยาวนานมากกว่า 10 ปีขึ้นไป และมีสภาวะอารมณ์ที่มั่นคงสามารถรับความผันผวนของตลาดหุ้นได้ดี คงจะเลือกลงทุนในหุ้นเป็นสัดส่วนที่มากหน่อยหรืออาจจะลงเงินในหุ้นทั้งหมดเลยก็ได้ เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่สูงที่สุดในระยะยาว

มั่นใจได้อย่างไรว่าในระยะยาวเงินลงทุนจะเติบโต

มาลองมาพิจารณาเฉพาะการลงทุนในหุ้น เพื่อทำความเข้าใจให้มากขึ้นว่าผลตอบแทนของตลาดหุ้นเกิดจากอะไร และจะมั่นใจได้อย่างไรว่าในระยะยาวแล้ว เงินลงทุนในตลาดหุ้นจะเติบโตขึ้น เพื่อให้ลงทุนในหุ้นได้อย่างสบายใจตามแนวทางของตัวอง

มาดูผลตอบแทนจากตลาดหุ้นไทยในช่วงเวลาที่นานขึ้น ตั้งแต่ปี 2518 – 2560 จะพบว่า

ในช่วงเวลา 43 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนราวๆ 124 เท่า
คิดเป็นผลตอบแทนจากการลงทุน 11.87% ต่อปี
ผลตอบแทนมาจากกำไรที่เติบโตขึ้น 6.89% ต่อปี
ผลตอบแทนมาจากเงินปันผลที่จ่ายออกมา 4.98% ต่อปี

จะเห็นว่าเพียงแค่ผลตอบแทนทบต้น 11.87% ต่อปี แต่ถ้าลงทุนนานพอ ผลตอบแทนที่ได้ก็จะมหัศจรรย์ นั่นคือ ผ่านไป 43 ปี เงินโตถึง 124 เท่า โดยถ้าเก็บเงินจากการทำงานเดือนแรก 10,000 บาท นำมาลงทุนในตลาดหุ้น ผ่านไป 43 ปี จะมีเงินถึง 1,243,314 บาท

เครดิตฟรี

ที่น่าสนใจไปกว่านั้น ถ้าหากเริ่มลงทุนด้วยเงิน 10,000 บาท จากนั้นเพิ่มเงินลงทุนอีก 10,000 บาททุกๆ ปี (เดือนละ 834 บาท) เมื่อผ่านไป 43 ปี เงินลงทุนจะเติบโตเป็น 10,456,993 บาท ซึ่งเชื่อว่า การเก็บเงินมาลงทุนปีละ 10,000 บาท เป็นสิ่งที่ไม่ได้ยากเกินไปสำหรับทุกคนเลย

จะเห็นได้ว่าผลตอบแทนจากตลาดหุ้นในระยะยาว เป็นผลตอบแทนจากธุรกิจที่เติบโตขึ้นเป็นหลัก (กำไร+ปันผล) ไม่เกี่ยวกับการเก็งกำไรในตลาดหุ้นรายวัน ดังนั้น เราแทบจะกำจัดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหุ้นรายวันออกไปได้ทั้งหมด ทำให้ไม่ต้องมากังวลว่าตลาดหุ้นจะขึ้นลงวันละกี่จุด สามารถลงทุนยาวๆ อย่างสบายใจไปได้เลย ค่อยๆ ให้เงินลงทุนโตขึ้นพร้อมๆ
กับกิจการของบริษัทในตลาดเติบโตขึ้น

ตราบเท่าที่เศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้อยู่ ธุรกิจในตลาดหุ้นรวมกันก็จะยังคงมีกำไรเติบโต และ จ่ายปันผลออกมาให้นักลงทุนตลอด ถ้าเราลงทุนในตลาดหุ้น เงินลงทุนก็จะยังคงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในระยะยาว และยิ่งลงทุนนานเท่าไหร่ เงินก็จะยิ่งเติบโตอย่างมหัศจรรย์มากขึ้นเท่านั้น

ถ้าเรามองภาพตลาดหุ้นให้ยาวขึ้นไปอีกเป็นร้อยปี จะมั่นใจได้หรือไม่ว่าเงินลงทุนในตลาดหุ้นจะยังคงเติบโตได้เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเกิดวิกฤติอะไรกับโลกใบนี้ก็ตาม เราจะคาดหวังผลตอบแทนจากตลาดหุ้นได้มากน้อยแค่ไหน

ลองมาดูผลตอบแทนของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 1900 – 2016 เป็นเวลาทั้งหมด 116 ปีแทน พบว่า

ตลาดหุ้นสหรัฐให้ผลตอบแทนประมาณ 9.5% ต่อปี
ผลตอบแทนมาจากกำไรที่เติบโตขึ้น 4.6% ต่อปี
ผลตอบแทนมาจากเงินปันผลที่จ่ายออกมา 4.4% ต่อปี
ผลตอบแทนจากการเก็งกำไร 0.5% ต่อปี (การเปลี่ยนแปลงของค่า P/E Ratio)

เงินลงทุน 1 ดอลล่าร์ในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาในปี 1900 จะกลายเป็นเงินจำนวน 39,000 ดอลล่าร์ในปี 2016 หรือโตขึ้นถึง 39,000 เท่า ซึ่งระยะเวลา 116 ปีนี้ น่าจะครอบคลุมการลงทุนตลอดชีวิตของคนๆ หนึ่ง ที่ได้ผ่านมาแล้วทุกวิกฤติ ทั้งเศรษฐกิจตกต่ำ เงินเฟ้อสูง สงครามโลก วิกฤติการเงินในเอเชีย วิกฤติการเงินในละตินอเมริกา วิกฤติดอทคอม วิกฤติสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์

ดังนั้น สบายใจได้ว่า ถ้าเราอิงกับการลงทุนในธุรกิจอย่างแท้จริงแล้ว ในระยะยาวตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดอยู่เสมอ และจากข้อมูลผลตอบแทนระยะยาวของทั้งตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ได้พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่าแม้เราไม่สามารถคาดเดาราคาหุ้นในระยะสั้นได้ แต่สามารถคาดการณ์ผลตอบแทนในระยะยาวของการลงทุนในหุ้นได้ค่อนข้างแม่นยำ เพราะในระยะยาว
ผลตอบแทนจากตลาดหุ้นจะเท่ากับผลตอบแทนจากธุรกิจในตลาดหุ้นรวมกันเสมอ

สล็อต

ถ้าตั้งใจจะลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้น สามารถคาดหวังผลตอบแทนที่ราวๆ 8% -10% ต่อปี และเราก็จะ “ลงทุนอย่างสบายใจ กำไรอย่างยั่งยืน” ไม่ต้องทำอะไร ปล่อยให้เงินทำงานและเติบโตไปเรื่อยๆ ได้เลย

ทั้งนี้ ถ้าจะลงทุนในตลาดหุ้นไทย ก็ขอให้เข้าใจไว้ว่าในอนาคตผลตอบแทนน่าจะลดน้อยลงกว่า 11.87% ต่อปี เพราะธุรกิจเติบโตช้าลงกว่าสมัยก่อนและตลาดหุ้นมีประสิทธิภาพมากขึ้นแล้ว แต่ก็น่าจะคาดหวังการเติบโตในระดับ 9% ต่อปีคล้ายๆ กับของสหรัฐอเมริกาเมื่อ 100 ปีที่ผ่านมาได้อยู่

และนี่ก็คือ หนึ่งในวิธีการเป็น “ผู้ชนะ” ในตลาดหุ้น เพราะจากตัวเลขก็สามารถพิสูจน์ให้เห็นได้แล้วว่าเราสามารถทำเงินจากตลาดหุ้นได้ เพียงแค่ “เราลงทุนซื้อหุ้นทั้งตลาดและถือลงทุนเป็นระยะยาว” ผู้ที่ต้องการลงทุนควรศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน

You may also like...