ตลาดหุ้นไทยยังน่าลงทุนอยู่หรือไม่
ผู้เขียนลองหาข้อมูลบทความต่างประเทศ ที่เขียนถึงประเทศไทยในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ถ้าดูจริงๆ แล้วแทบ “หาอ่านไม่ได้” สักบทความเดียว ด้วยสภาวะอึมครึมที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนหุ้นคุณค่า (VI) ไทย เริ่มหาโอกาสไปลงทุนต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง (ผู้เขียนก็เป็นหนึ่งในนั้น)
อย่างไรก็ตาม อยากจะบอกว่า ถ้ามองยาวๆ การลงทุนต่างประเทศก็ไม่ได้มีข้อดี 100% นั่นหมายความว่า การลงทุนในประเทศไทย ก็ยังมีเสน่ห์ไม่น้อย
ภาพตลาดหุ้น
ช่วงที่ตลาดหุ้นไทยอยู่ในภาวะตื่นตระหนก (Panic) นักลงทุนค่อนข้างประเมินได้อย่างแม่นยำพอควรว่า สามารถซื้อหุ้นตัวไหนได้ ต่างชาติเทขายหุ้นแบบไม่มีเหตุผล แต่เราอยู่ในบ้านของตัวเอง ก็ควรจะมีเหตุผลกว่า
ถ้าไม่ได้โลภว่าจะหาจุดซื้อ Low (หรือไม่มีเงินสดเหลือ) รอบนี้ นักลงทุนหุ้นคุณค่าน่าจะซื้อได้บ้าง และหุ้นเหล่านั้นผลตอบแทนจนถึงวันนี้ก็น่าจะ 100% ทั้งนั้น นอกจากนี้ หุ้นบางตัวก็ยังถูกลากขึ้นไปแบบไม่มีเหตุผล ทำให้ผู้ที่ติดดอยอยู่ได้ขายแบบสบายๆ
เช่นเดียวกับนักลงทุนที่เล่นเป็น Theme หากขยันและมองออก ก็สามารถทำ Rotation ได้ไม่ยาก อีกอย่างคือ นักลงทุนไทยกล้าซื้อหุ้นไทยในจำนวนที่เยอะกว่า เพราะใกล้ชิดมากกว่า (ผู้เขียนไม่แนะนำให้ตีแตกหุ้นต่างประเทศ เพราะมีโอกาสเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน แบบ Black Swan โดยไม่รู้ตัวได้ง่ายกว่ามาก)
นอกจากนั้น หุ้นต่างประเทศที่เด้งแรงๆ ในช่วงนี้ มักเป็นหุ้น Tech ซึ่งราคาเด้งจาก Bottom ที่แพงมากกลายเป็นแพงสุดๆ ไปแล้ว หุ้นที่ Outlook ไม่ดีก็ยังถูกกดดัน ไม่ได้เด้งขึ้นง่ายๆ กำไรที่ได้มาตอนนี้ ก็ไม่แน่ใจว่าได้กำไรเพราะฝีมือหรือเพราะโชคช่วย
ส่วนตัวคิดเสมอว่านักลงทุนต่างประเทศเก่งกว่าเราพอสมควร เครื่องมือเยอะกว่า ไม่ว่าจะเป็นสถาบัน รายย่อย รายใหญ่ ตลาดหุ้นต่างประเทศถึงจะ Panic ก็ Panic อย่างมีเหตุผลมากกว่า การไปลงทุนต่างประเทศ ต้องคิดเสมอว่าเราเป็นทีมเยือนไม่ใช่ทีมเหย้า แม้ว่าตลาดหุ้นไทยโดยรวมอาจจะเติบโตอย่างช้าๆ ในอีกหลายปี แต่ไม่ได้แปลว่าหุ้นรายตัวของไทยจะไม่ดีทุกตัว
ภาพในระยะสั้น
ประเทศไทยชนะโควิดในยกแรก ดังนั้น การฟื้นตัวในประเทศของภูมิภาคนี้จะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ นำหน้าภูมิภาคอื่น แม้ว่าจะมีการพึ่งพาต่างชาติมากก็ตาม แต่ก็เป็นโอกาสดี ที่จะทำให้การบริโภคในประเทศเข้มแข็งขึ้น ถ้าเราเดินตามรอยจีน จึงคาดการณ์ว่าตัวเลขธุรกิจที่ไม่เกี่ยวกับต่างชาติหรือการท่องเที่ยว จะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
จังหวะของประเทศไทยตอนนี้ยังดีมาก เพราะอยู่ในช่วง Low season ต่างจากในยุโรปที่เข้าสู่ฤดูร้อน ซึ่งเป็น High season ดังนั้น การท่องเที่ยวทั่วทั้งโลกจึงอยู่ในแถบยุโรปกว่า 60% ซึ่งมากกว่าภูมิภาคเอเชีย และการท่องเที่ยวของยุโรปทั้งปีก็อยู่ในช่วง High season ถึง 65%
ส่วนประเด็นการตกงานของคนไทยก็ไม่น่ากลัวเหมือนในสหรัฐอเมริกา เพราะคนส่วนมากที่ตกงานเป็น Low skilled labor ซึ่งสามารถย้ายและเปลี่ยนงานได้ง่ายกว่า
ภาพในระยะกลาง / ยาว
วิกฤติโควิด ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของไทยสูงขึ้นหลังจากนี้ เนื่องจากการทำ Digitization แบบถูกบังคับ สังเกตได้ว่า คนไทยถ้าไม่ถูกบังคับก็จะเฉื่อย หรือ Status quo อันนี้ต้องแลกกับคนตกงานบ้าง แต่ถ้าปรับตัวได้ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัวประชากรควรจะดีขึ้น
ด้าน Geopolitics ประเทศไทยอยู่สถานะไม่ต้องเลือกข้าง ไม่ค่อยมีปัญหากับใคร ดังนั้น จะไปได้ดีทั้งกับสหรัฐอเมริกาและจีน ความเสี่ยงตรงนี้จึงน้อยกว่าหลายประเทศ และหากมองปัญหารอบๆ ภูมิภาคนี้น่าจะได้ประโยชน์ด้วยซ้ำ เช่นเดียวกับสถานะทางการเงินของภาคเอกชนและภาครัฐ ค่อนข้างแข็งแรงมาก แม้ว่าประชาชนยังคงลำบากไปอีกสักระยะหนึ่ง เนื่องจากมีหนี้ครัวเรือน
สำหรับคุณภาพหุ้นไทย ถึงแม้คุณภาพจะด้อยลงจากการเติบโตที่น้อยลง แต่หุ้นไทยหลายตัวเริ่มขยายออกไปต่างประเทศ ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมอยู่ใน S-Curve ใหม่ ในอีก 10 ปีข้างหน้า ใครจะรู้ว่าเราอาจจะมี Regional Company อย่างแท้จริงก็ได้
ถ้ามองกรุงเทพฯ ถือว่าเป็นเมืองที่มีศักยภาพสูงพอที่จะเป็น Mega City ของโลกในภูมิภาคนี้ได้ แม้อาจถูกสิงคโปร์บดบังไปบ้าง แต่คิดว่ากรุงเทพฯ เหนือกว่าทุกเมืองที่เหลือในภูมิภาคนี้ และความได้เปรียบนี้ก็ยังคงมีต่อไป โดยที่ยังไม่เห็นว่าจะมีใครไล่ตามได้ทันในเร็วๆ นี้
ท้อได้ แต่อย่าเพิ่งหมดหวังกับประเทศไทย ขณะเดียวกัน ก็อย่าเพิ่งปิดโอกาสมองต่างประเทศเช่นเดียวกัน การลงทุนคือความ่สี่ยงควรคิดให้ดีก่อนลงทุน