SEO คืออะไร

ทดลองเล่นสลอต

SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization หมายถึงวิธีการปรับแต่งโครงสร้างหน้าตาเว็บไซต์ การปรับแต่งโค๊ด ปรับแต่งความเร็วในการเข้าถึงเว็บไซต์ และการเขียนเนื้อหาให้เป็นไปตามความต้องการของ เว็บ Search Engine เช่น เว็บ Google, Bing เป็นต้น ซึ่งผลลัพธ์ปรับแต่งเว็บไซต์ของการทำ SEO จะทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับอยู่ในลำดับต้นๆ ของผลการค้นหา ด้วยคีย์เวิร์ด (Keyword) หรือคำค้นหาที่คุณต้องการและเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ ในส่วนของการแสดงผลลัพธ์เว็บไซต์จะปรากฏบนเว็บ Search Engine ทางด้านซ้ายของ Search Engine ซึ่งการแสดงผลจะแสดงหน้าละ 10 อันดับ หน้าแรก (อันดับ 1-10) และ หน้าที่สอง ( อันดับ 11-20) ซึ่งการทำ SEO ที่ดีและได้ผลนั้นเว็บที่ทำ SEO ควรที่จะอยู่หน้าแรกแต่ไม่ควรอยู่เกินหน้าที่ 2 ซึ่งจะได้รับการเข้าเยี่ยมชม บ่อยครั้งมากที่สุด ยิ่งอันดับสูงเท่าไรอัตรการคลิกเข้าสู่เว็บก็สูงขึ้นเท่านั้น

ทดลองเล่นสล๊อต

ปัจจัยในการทำ SEO มีอะไรบ้าง
ปัจจัยในการทำ SEO นั้นมี 7 ข้อหลักดังต่อไปนี้

โฮสติ้งหรือที่ๆ เราใช้ฝากเว็บไซต์ของเรา
ชื่อเว็บไซต์หรือโดเมนเนม
Title หรือชื่อจำกัดความของหน้าเว็บไซต์
Description หรือคำอธิบายของหน้าเว็บไซต์
Keyword หรือคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
Content หรือเนื้อหาของเว็บไซต์
ความน่าเชื่อถือและความปลอดภัย

ทำไมเราต้องทำ SEO ?
เพื่อให้เว็บไซต์ของเราได้รับการจัดลำดับ ในอันดับที่ดีขึ้น (ยิ่งเป็นอันดับที่ 1 ใน Keyword นั้น ๆ ด้วยยิ่งดี) เพื่อให้มีคนได้มีโอกาสเข้าเว็บเรามากขึ้นโดยการคลิกที่ลิงค์จากการค้นหาผ่าน Search Engine เพื่อเป็นการประหยัดค่าโฆษณาเว็บไซต์ของเรา ที่ไปติดโฆษณาในที่ต่าง ๆ เพื่อทำให้เว็บไซต์เราสามารถขายสินค้าและบริการได้มากขึ้น (อันนี้เหมาะกับเว็บ e-Commerce และ e-Marketing ต่าง ๆ ) เพราะการค้นหาข้อมูลผ่าน Search Engine มีคนใช้ถึง 81% เราต้องทำให้คนรู้จัก เราให้ได้มากที่สุด การทำ SEO เป็นการประหยัดเวลาระยะยาว (แต่ใช้เวลาทำนานไม่น้อยกว่า 6 เดือน) ถ้าคุณติดลำดับต้น ๆ ในหน้าแรกแล้วจะทำให้เกิดการคลิกและเข้าเว็บเรามากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ประโยชน์ที่ได้รับจากการทำ SEO มีอะไรบ้าง
สามารถทำให้ได้กลุ่มลูกค้าที่ตรงตามกลุ่มเป้าหมายที่วางไว้
สามารถโปรโมทเว็บไซต์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
สร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของท่าน
ทำให้เว็บไซต์ของท่านติดอันดับบนเว็บเสิร์ชเอ็นจินได้
ประหยัดค่าใช้จ่ายในการโฆษณาเมื่อเทียบกับการโฆษณาประเภทอื่นๆ
ทำให้เว็บไซต์ของคุณง่ายต่อการค้นหาบนเว็บเสิร์ชเอ็นจิน

SEO ทำอย่างไร
วิธีการทำ SEO สามารถแบ่งได้ตามปัจจัยในการทำ SEO ซึ่งหลักๆ มีดังต่อไปนี้

ควรเลือกโฮสติ้งที่ดีมีมาตรฐานไม่ล่มบ่อย มี bandwidth ในการเข้าถึงที่ดีจากต่างประเทศเพราะ bots หรือ spider ของเว็บ Search Engine นั้นมาจากต่างประเทศเป็นหลัก
ชื่อเว็บไซต์หรือโดเมนเนม ควรใช้ชื่อที่สื่อความหมายได้ตรงกับสินค้าหรือตรงกับ keyword ที่เราต้องการทำ SEO
Title หรือชื่อจำกัดความของหน้าเว็บไซต์ ต้องมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันกับ keyword ที่เราต้องการทำ SEO
Description หรือคำอธิบายของหน้าเว็บไซต์ ต้องสามารถอธิบายและขยายความ title ที่เรากำหนดได้เป็นอย่างดีและสั้นกระชับได้ใจความ
Keyword หรือคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ และต้องตรงกับ keyword ที่เราต้องการทำ SEO
Content หรือเนื้อหาของเว็บไซต์ ต้องเขียนขยาย description อีกทีนึงให้รายละเอียดที่ครบถ้วน
ความน่าเชื่อถือและความปลอดภัย เช่นการใช้ SSL เข้ามาช่วยในการเข้ารหัสการส่งข้อมูลระหว่างเครื่องลูกค้ากับเครื่อง server แม่ข่ายอีกที
SEO สายดำสายขาว ที่เรียกกันต่างกันยังไง
พูดง่ายๆก็คือ SEO สายดำ คือการโกง ส่วน SEO สายขาว คือการทำ SEO ที่ถูกต้องตามหลักของเว็บ Search Engine นั่นเอง ซึ่ง SEO สายขาวขั้นตอนการทำได้กล่าวไว้แล้วข้างต้นนั่นเอง ส่วนการทำ SEO สายดำ หรือสาย Dark นั้นขั้นตอนก็ไม่ยากเช่น การซื้อ link, การทำ spam keyword, การทำเขียน script ไปแป๊บไว้ที่เว็บอื่นให้ redirect มายังเว็บของเรา เป็นต้น ซึ่งวิธีการเหล่านี้ล้วนผิกกฏและเป็นข้อห้ามในการทำ SEO

ทดลองเล่นสล๊อต

แนวทางการทำ SEO
ในเมื่อ SEO คือการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์และคอนเทนต์ แสดงว่า Google และ Search Engine อื่นๆ ย่อมมีหลักเกณฑ์การตรวจสอบและให้คะแนนอยู่ โดยฝั่ง Search Engine จะส่งเหล่า Bot เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์คุณเป็นอยู่เรื่อยๆ แล้วดูความเกี่ยวข้องของเนื้อหากับ Keyword ใดบ้าง อีกทั้งโครงสร้างและความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์เป็นอย่างไร

วิธีการให้คะแนนอย่างละเอียดนั้นไม่มีการไม่เปิดเผยออกมา แต่มีผู้เชี่ยวชาญภายนอกจำนวนมากได้ทดลองและคาดการณ์กันว่า Search Engine อันดับ 1 ของโลกอย่าง Google มีการใช้เกณฑ์อะไรบ้าง เราจึงใช้เกณฑ์เหล่านี้เป็นแนวทางในการทำ SEO โดยเว็บไซต์ Backlinko ได้สรุปปัจจัย 200 อย่างที่คาดว่ามีผลต่ออันดับใน Google ไว้ในบทความ

จากหลักเกณฑ์จำนวนมากในการทำ SEO ผมสรุปเป็นด้านหลักๆ เป็น 3 ด้าน คือ ด้านเนื้อหา, ด้านโครงสร้างและประสิทธิภาพเว็บไซต์ และด้านความน่าเชื่อถือ ทั้ง 3 ด้านนี้เป็นสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไป เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ด้านเนื้อหา
เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในการทำ SEO เพราะการที่เว็บไซต์จะเกี่ยวข้องกับ Keyword ใด Google จะดูจากความสำคัญของ Keyword ในเนื้อหาที่อยู่บนเว็บ ทั้งปริมาณ Keyword, ตำแหน่งที่ Keyword นั้นปรากฏอยู่ ว่าจะอยู่ใน Title, URL, ส่วนบนล่างของเว็บไซต์ หรือรูปแบบของ Keyword ว่าเป็นหัวข้อ, ตัวหนา, ตัวเอียงหรือ Link เป็นต้น

การทำ Content Marketing โดยการเขียนบทความให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้าให้กับผู้ชมเว็บไซต์ ก็มีส่วนช่วยในการทำ SEO ได้ทางหนึ่ง เพราะบทความจะช่วยเพิ่มปริมาณ Keyword บนเว็บไซต์คุณโดยอัตโนมัติ

ตัวอย่าง
ถ้าคุณทำเว็บไซต์เกี่ยวกับธุรกิจขาย บ้าน/คอนโด การเขียนบทความให้ความรู้ เช่น “วิธีเลือก บ้าน/คอนโด ที่เหมาะสำหรับคุณ”, “วิธีตรวจรับ บ้าน/คอนโด อย่างมืออาชีพ” และลงบทความอื่นอย่างต่อเนื่อง นอกจากจะช่วยด้าน Content Marketing แล้วก็จะช่วยด้าน SEO อีกด้วย เว็บไซต์คุณก็จะมีคะแนนความเกี่ยวข้องกับคำว่า บ้าน/คอนโด มากขึ้น อันดับเว็บไซต์บน Google คำว่า บ้าน/คอนโด ก็จะดีขึ้นด้วย

*ข้อควรระวัง : หากบทความมี Keyword ถี่มากเกินไปจนผิดธรรมชาติ (Keyword spamming) นอกจากจะสร้างความรำคาญให้ผู้ใช้และสร้างภาพลบให้กับแบรนด์แล้ว Google อาจมองว่าเว็บไซต์จงใจหลอก Google และลดความน่าเชื่อของเว็บไซต์หรือแม้กระทั่งนำเว็บไซต์ออกจากการจัดอันดับไปเลยด้วย การเขียนบทความจึงควรเขียนให้เป็นธรรมชาติที่สุด

ด้านโครงสร้างและประสิทธิภาพเว็บไซต์
เป็นส่วนที่เกี่ยวกับเทคนิคการทำเว็บไซต์ทั้งในด้านโครงสร้าง ความสะดวกในการใช้งาน ความปลอดภัย และประสิทธิภาพด้านความเร็ว ซึ่งส่วนนี้มักจะต้องให้ผู้เชี่ยวชาญดูแลให้ เช่น

การทำ HTTPS เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการรับส่งข้อมูลบนเว็บ
การทำ Responsive Design เพื่อให้สามารถแสดงผลอย่างเหมาะสมได้บนอุปกรณ์ทุกขนาด ทั้ง Mobile, Tablet และ PC
การทำ Inbound Link เพื่อให้แต่ละหน้าบนเว็บไซต์เชื่อมต่อกันอย่างทั่วถึง และเพิ่มคะแนน Backlink ให้แต่ละหน้า
เทคนิคอื่นๆ เช่น เพิ่มความเร็วของเว็บไซต์, การบีบอัดภาพและสคริป, การใช้ Hosting ที่น่าเชื่อถือ, การสร้าง robot.txt สำหรับ Search Engine เป็นต้น
ควรให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเรื่องเหล่านี้ แล้วพิจารณาว่าจะปรับแก้เว็บไซต์เดิมให้ดีขึ้นหรือบางครั้งอาจจำเป็นต้องสร้างเว็บไซต์ใหม่ โดยเฉพาะเรื่อง Responsive Design เพราะหากเว็บไซต์เดิมไม่รองรับการแสดงผลบน Mobile Device แล้วการปรับแก้ของเดิมอาจยากกว่าการสร้างใหม่
ด้านความน่าเชื่อถือ
เป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพูดถึงหรืออ้างอิงมาที่เว็บไซต์จากแหล่งภายนอก ทั้ง Social Network และเว็บไซต์อื่นๆ (ซึ่งส่วนนี้จะมีผลต่อการทำ SEO มากที่สุดอย่างหนึ่ง) รวมถึงอายุของเว็บไซต์ โดยเว็บไซต์ที่อยู่มานานจะมีความน่าเชื่อถือกว่าเว็บไซต์ที่เพิ่งเปิดใหม่

การเขียนบทความที่มีคุณภาพเพื่อให้เว็บไซต์อื่นใช้ในการอ้างอิง หรือให้แพร่หลายใน Social Network เป็นวิธีที่น่าสนใจและเป็นวิธีที่มีคุณภาพวิธีหนึ่ง ทั้งยังช่วยสร้างชื่อเสียงและภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์อีกด้วย

*ข้อควรระวัง : หาก Link ที่มาเว็บไซต์คุณส่วนใหญ่มาจากเว็บที่ไม่มีคุณภาพ (เช่น เว็บที่รับจ้างใส่ Link) เว็บไซต์คุณอาจถูกลดความน่าเชื่อถือลงได้ หรือ Link ที่เกิดจากการซื้อโฆษณาก็จะไม่ได้คะแนนในส่วนนี้เช่นกัน หรือการโพสต์ Link ในส่วน Comment ของ Webboard ต่างๆ ส่วนใหญ่เจ้าของเว็บไซต์จะทำให้ Link นั้นไม่ได้คะแนนการอ้างอิงอยู่แล้ว เพื่อกันการ Spam Link จนสร้างความรำคาญกับผู้ใช้งานบนเว็บของเขาเอ

จะตรวจสอบความก้าวหน้าของการทำ SEO อย่างไร? และต้องรอนานแค่ไหน?
วิธีตรวจสอบง่ายๆ ให้คุณเปิด Google Chrome ขึ้นมา แล้วเข้าโหมด Incognito (เนื่องจากโหมดปกติ Google จะพยายามดึงเว็บที่เราเข้าบ่อยๆ เช่น เว็บเราเอง ขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งทำให้เราเห็นผลการค้นหาไม่ตรงกับผู้ใช้ส่วนใหญ่) ลองใส่ Keyword ที่คิดว่าผู้ใช้จะค้นหาแล้วดูว่าเว็บไซต์เราอยู่อันดับที่เท่าไหร่ (ถ้าเปิดไป 2-3 หน้าแล้วยังไม่เจอก็พอแล้วนะครับ ต้องเริ่มทำ SEO คำนี้ได้แล้ว)

Q: ถ้าลองทำ SEO บนเว็บไซต์แล้ว กว่าจะเห็นผลต้องรอนานแค่ไหน?
A: หลายคนคาดหวังว่าพอทำ SEO ปรับเว็บวันนี้ พรุ่งนี้อันดับเว็บเราต้องขึ้น!!! ผมบอกก่อนเลยว่ามันไม่ได้เร็วขนาดนั้น! ก็มีวิธีบางอย่างที่เร่งให้ Google ทำงานเร็วขึ้นได้บ้างเล็กน้อย โดยทั่วไปกว่าการเปลี่ยนแปลงจะเห็นผลก็ยังเป็นเดือนอยู่ดี

Q: ปรับเดือนนี้ เดือนหน้าถึงจะเห็นผล!? กว่าจะทำเสร็จไม่เป็นปีเลยหรอ?
A: ผมแนะนำให้ทำ SEO อย่างต่อเนื่องไม่ต้องหยุดรอนะครับ ทั้งเขียน Content, ปรับโครงสร้าง, เพิ่มความเร็ว โปรโมทเว็บ ค่อยๆ ทำสิ่งเหล่านี้ให้ได้มากที่สุดที่คุณทำได้ แล้วคะแนนและอันดับใน Google ของคุณจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเอง และอย่าลืมว่า SEO เป็นเรื่องของการแข่งขันกัน ถึงแม้เว็บจะขึ้นอันดับ 1 แล้วถ้าหยุดทำ SEO ก็อาจถูกอันดับ 2 แซงขึ้นมาได้ง่ายๆ (ตกมาอันดับ 2 Traffic คำนี้หายไปครึ่งนึงเลยนะ)

สรุป
SEO คือ การทำให้เว็บไซต์ของคุณนั้นถูกค้นเจอโดย Google และถูกคลิ๊กโดยคนจริงๆ ซึ่งถ้าหากคุณทำ SEO ได้ดีแล้ว เว็บไซต์ที่คุณทุ่มเททำขึ้นมาจะสามารถ ‘Attract’ ผู้เข้าชมในทุกๆ วันอย่างแน่นอน แต่ผมขอบอกไว้เลยว่าการดึงคนเข้ามายังเว็บไซต์ยังเป็นเพียงก้าวแรกของความสำเร็จเท่านั้น เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เป้าหมายต่อไปคือ จะเปลี่ยนผู้เข้าชมเหล่านี้ให้เป็นลูกค้าของคุณได้อย่างไร? ซึ่งวิธีการต่างๆ เหล่านี้นั้นจะอยู่ในส่วนของ ‘Convert’ และ ‘Close’ ใน Inbound Marketing ครับ

อ่านบทความนี้จบแล้ว คุณเข้าใจเกี่ยวกับ SEO เพิ่มมากขึ้นรึเปล่า? หรือยังมีข้อสงสัยตรงส่วนไหน? พิมพ์มาพูดคุยกันได้ในคอมเมนต์เลยครับ

[NPC4]

You may also like...