ปรับใช้เงินดิจิทัล
“เงินดิจิทัล (digital money)” ในประเทศไทย ยกตัวอย่างเช่น เงินใน e-wallet บัตร 7-11 บัตรรถไฟฟ้า ไว้ว่าคนประเทศไทยเปิดรับทำให้เติบโตเร็วมาก วันนี้ก็เลยต้องการฉวยโอกาสเชื้อเชิญคนอ่านคุยเรื่องสม่ำเสมอเกี่ยวกับ “สกุลเงินดิจิทัล (digital currencies)” ว่าเกิดเรื่องใกล้ตัวขนาดไหน
สกุลเงินดิจิทัล vs เงินดิจิทัล?
ทั้งคู่อย่างแบบเดียวกันตรงคำว่า “ดิจิทัล” ด้ามจับจะต้องมิได้ แต่ว่ามีตัวตนทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ ความแตกต่างเป็น “เงินดิจิทัล” มีเงินสกุลแคว้นสนับสนุน อาทิเช่น จะต้องนำเงินบาทมาจ่ายผู้ให้บริการ e-money ก่อนใช้จ่ายค่าผลิตภัณฑ์ ก็เลยมีหน่วยเป็นเงินสกุลแคว้นและก็มีมูลค่าแน่ๆ
“สกุลเงินดิจิทัล หรือ คริปโทเคอร์เรนซี (cryptocurrency)” เป็นต้นว่า บิทรอน์ (Bitcoin) เป็นสกุลเงินใหม่ที่ผลิตขึ้นมาจากกลไกเลขที่ระบุปริมาณไว้จำกัด จะต้องใช้ระบบคอมพิวเตอร์ถอดรหัสเพื่อนำเงินออกมาจากกลไก สกุลเงินใหม่นี้ทำขึ้นเพื่อลดการรวมศูนย์ของระบบการจ่ายเงินผ่านสถาบันการเงินให้สามารถกระจัดกระจายไปยังผู้ใช้ในเครือข่ายสกุลเงินนั้นๆได้ โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกศาสนาเชน (blockchain) ติดตามการเคลื่อนไหวของเงินแม้ว่าจะไม่มีตัวกลางแล้วก็สามารถคุ้มครองป้องกันการปลอมแปลงได้ด้วย การจ่าย/โอนเงินก็เลยอยู่เพียงแค่ข้างในโครงข่าย ซึ่งมีจุดเด่นที่เร็วทันใจ ทุนต่ำ และก็ไม่เป็นอันตราย แม้กระนั้นธนาคารกลางจำนวนมากยังไม่รับรองว่าบรรดาคริปโทเคอร์เรนซีที่เอกชนผลิตขึ้นมา สามารถใช้ใช้หนี้ได้โดยชอบด้วยกฎหมาย คริปโทเคอร์เรนซีก็เลยปฏิบัติหน้าที่ของรายได้ไม่ครบ เนื่องจากยังไม่เป็นตัวกลางสำหรับในการจ่ายเงินและไม่ถูกใช้เป็นหน่วยตั้งราคาข้าวของแถมค่ายังผันแปรมากมาย แม้กระนั้นถ้าเกิดเป็น “สกุลเงินดิจิทัลที่ธนาคารกลางออกใช้ (central bank digital currency: CBDC)” จะมีคุณลักษณะของเงินที่ครบบริบรูณ์ด้วยเหตุว่ามีมูลค่าแน่ๆใช้แทนสกุลเงินแคว้นได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
เพราะเหตุใดสกุลเงินดิจิทัลก็เลยเริ่มเป็นที่พอใจ?
ความชื่นชอบใช้คริปโทเคอร์เรนซีบางทีอาจเห็นได้ชัดในประเทศที่คนไม่ค่อยเชื่อใจในเงินสกุลเขตแดนและไม่เชื่อมั่นในเสถียรภาพระบบการคลังในประเทศ ดังเช่นว่า ประเทศเวเนซุเอลาที่เจอเศรษฐกิจตกต่ำ พบเจอกับเงินเฟ้อสูงมากมายแทบ 1 ล้านเปอร์เซ็นต์ในปี 2561 ทำให้เงินโบลีเวีย (Bolevar) ซึ่งเป็นสกุลเงินเขตแดนเกือบจะไร้ค่า คนก็เลยหนีเงินเฟ้อในสกุลเงินโบลีเวียและก็ขาดความมั่นใจและเชื่อมั่นในตนเองสำหรับในการบริหารของเมืองไปถือคริปโทเคอร์เรนซี ถึงแม้รัฐบาลจะออกสกุลเงินดิจิทัลแห่งชาติชื่อ “Petro coin” ที่สนับสนุนด้วยค่าแอ่งน้ำมันของเมือง แม้กระนั้นก็ประสบความล้มเหลวที่จะดึงให้คนกลับมาวางใจในเงินของรัฐได้
สำหรับเงินสกุลดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง (CBDC) โดยปกติจะออกเพื่อ 3 เป้าหมาย1หมายถึง(1) ไม่ให้มีการผูกขาดและก็ลดการเสี่ยงในระบบการจ่ายเงินจากการพึ่งพาอาศัยบริการด้านการเงินภาคเอกชนมากมายไป ซึ่งมักกำเนิดกับประเทศที่คนไม่ค่อยใช้เงินสดแล้ว ดังเช่น ประเทศสวีเดนที่มีแผนการจะออกสกุลเงิน e-krona (2) ลดทุนแล้วก็ทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นระบบการจ่ายเงิน (3) เพิ่มจังหวะเข้าถึงบริการทางด้านการเงิน ดังนี้แต่ละธนาคารกลางบางทีอาจกำหนดรูปแบบของ CBDC ไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ดอกบัญชีธนาคาร CBDC ที่ธนาคารกลาง (interest-bearing) ซึ่งจะช่วยทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นการดำเนินแผนการการคลังในตอนเศรษฐกิจขาลง โดยลดอัตราค่าดอกเบี้ยเงินออมให้ติดลบได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ธนาคารกลางไม่อาจจะทำเป็นในสังคมใช้เงินสด เนื่องจากว่าคนสามารถแปรไปถือเงินสดแทนการเก็บเงินเอาไว้ภายในบัญชีธนาคารแล้วถูกเก็บดอก นอกเหนือจากนี้ รายงานตรวจพบว่า ธนาคารกลางโดยมากในโลกติดตามการใช้คริปโทเคอร์เรนซีของคนภายในประเทศอย่างใกล้ชิดแล้วก็มีการศึกษาเล่าเรียน CBDC2 จัดแจงไว้เผื่อจำต้องออกใช้ หากแม้มีส่วนน้อยที่มีแผนในการจะออกใช้จริง โดยบอกเหตุผลด้านความมั่นคงและยั่งยืนและก็การเพิ่มสมรรถนะของระบบการจ่ายเงินเป็นขั้นแรก และก็มองดูเหตุผลด้านแผนการการคลังเกิดเรื่องรอง
การใช้สกุลเงินดิจิทัลในประเทศไทย
ปัจจุบันนี้การใช้คริปโทเคอเรนซีในไทยเพื่อธุรกรรมจ่ายเงินยังมีจำกัด รวมทั้งเริ่มมีชาวไทยที่ผลิตคริปโทเชื้อชาติไทยได้ ดังเช่น Zcoin ส่วนนักลงทุนไทยเริ่มรู้จักคริปโทที่เป็นทรัพย์สินดิจิทัลภายใต้ พระราชกำหนด การประกอบธุรกิจทรัพย์สินดิจิทัล พุทธศักราช 2561 โดยมีที่ทำการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (มายากลตำบล) ควบคุมดูแลการขึ้นบัญชีของผู้ประกอบกิจการซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโทในไทย และก็เตือนผู้พึงพอใจลงทุนในคริปโทว่ามีการเสี่ยงสูง ควรมีวิชาความรู้รวมทั้งรับการเสี่ยงที่บางทีอาจสูญเงินทุนได้
นอกนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้เปิดตัวโครงงานอินทนนท์ที่เป็นการทดลองระบบการโอนเงินระหว่างสถาบันการเงินโดยใช้ CBDC เลียนแบบ (wholesale CBDC) เพื่อทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นองค์ประกอบเบื้องต้นระบบการจ่ายเงิน รวมทั้งเพิ่งจะรายงานผลของการทดลองระยะที่ 1 ร่วมกับธนาคารพาณิชย์ 8 ที่สำหรับเพื่อการโอนเงินระหว่างกันและก็การจัดการสภาพคล่องในตอนสิงหาคม 2561 – ม.ค.ปีนี้ พบว่าเทคโนโลยีบล็อกศาสนาเชนมีความสามารถสำหรับเพื่อการทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นระบบการจ่ายเงินของไทย แต่ว่าการจะนำระบบนี้มาใช้งานจริงจะต้องใช้เวลาทดลองสมรรถภาพรวมทั้งศึกษาเล่าเรียนผลพวงเพิ่มเติมอีก พร้อมประกาศจัดแจงทดลองระยะที่ 2 ตั้งแต่กุมภาพันธ์นี้
ถึงเวลานี้อาจจะเพียงพอกล่าวได้ว่าสกุลเงินดิจิทัลเริ่มใกล้ตัวชาวไทยเยอะขึ้นเรื่อยๆ โดยยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่คิดว่าเป็นช่องทางสำหรับเพื่อการลงทุนและก็กล้ารับการเสี่ยง ส่วน ธนาคารแห่งประเทศไทย เริ่มมองเห็นคุณประโยชน์จาก wholesale CBDC สำหรับการทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นระบบการจ่ายเงินระหว่างสถาบันการเงิน แต่ว่าการออก CBDC ให้ประชากรใช้บางทีอาจยังมองไกลตัว ตราบเท่าที่การใช้คริปโทยังไม่สร้างการเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบการคลัง รวมทั้งชาวไทยยังเชื่อมั่นสำหรับการใช้สกุลเงินบาท แล้วก็ความมั่นคงและยั่งยืนในระบบการจ่ายเงินของประเทศอยู่