5 อันดับความเข้าใจผิดเกี่ยวกับกองทุนรวม

ปัจจุบันนี้ กองทุนรวมถือเป็นช่องทางการลงทุนอันดับต้นๆ ของนักลงทุน แต่ยังมีบางส่วนที่มีมีความสับสนอยู่ และนี่คือ 5 อันดับยอดฮิตกับความเข้าใจผิดที่มีต่อกองทุนรวม

  1. ความเข้าใจผิดเรื่องมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV)

นักลงทุนอาจจะเข้าใจว่าการเลือกซื้อกองทุนจะต้องเลือกกองทุนที่มีราคา NAV ต่ำๆ หรือถ้าเป็นกองทุนพึ่งเปิดซื้อขาย (IPO) ถ้าเปิดราคา 10 บาทได้ยิ่งดี

สล็อตออนไลน์

กองทุน A มีราคาตลาดที่ 15 บาท กับกองทุน B มีราคาตลาด 30 บาท นักลงทุนก็จะเลือกลงทุนกองทุน A เนื่องจากมองว่าถูกกว่าและยังปรับขึ้นไม่มาก (ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงทั้ง 2 กองทุนอาจจะลงทุนในสินทรัพย์ตัวเดียวกันก็ได้)

ตัวอย่างที่ยกมาให้ดูถือว่าเป็นเรื่องที่เกิดได้บ่อยมากๆ และถือเป็นความเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงเพราะว่าความจริงแล้วกองทุนเกือบทุกกองในประเทศไทย เวลาจดทะเบียนเริ่มทำการซื้อขายมักจะจดทะเบียนซื้อขายกันที่ราคาเริ่มต้น 10 บาทเท่ากัน ดังนั้น จะเอาราคาตลาดในปัจจุบันมาเทียบกันไม่ได้แน่นอน และการจะเปรียบเทียบความถูกแพงของกองทุนนั้น
ไม่สามารถเทียบกันได้ในแง่ของราคาเลย

ยกตัวอย่าง กองทุน A และกองทุน B เป็นกองทุนเลียนแบบดัชนี SET50 เหมือนกัน แต่กองทุน A เปิดกองมาแล้ว 10 ปี (โดยช่วง 10 ปี ดัชนี SET50 ขึ้นมาราวๆ 50%) ในขณะที่กองทุน B เปิดมาได้ 1 ปี ทำให้ราคา NAV ของกองทุน A สูงกว่ากองทุน B มาก

jumboslot

นักลงทุนที่เข้าใจผิดอาจไปตัดสินใจซื้อกองทุน B ด้วยเข้าใจว่าราคาถูกกว่า ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วทั้ง 2 กองทุนไม่ได้แตกต่างกันเลย ดังนั้น โดยสรุปแล้วไม่สามารถดูความถูกแพงของกองทุน จากราคา NAV ได้ หรือจะให้ดีกว่านั้น “อย่าตัดสินใจเลือกกองทุนโดยใช้ราคา NAV เป็นหลัก” แต่ควรจะพิจารณาจากความสามารถในการบริหารของผู้จัดการกองทุน
ลักษณะสินทรัพย์ที่ลงทุน และค่าธรรมเนียม

  1. Trigger Fund รับประกันผลตอบแทน

นักลงทุนจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่ากองทุนทริกเกอร์ (Trigger Fund) คือกองทุนที่รับประกันผลตอบแทน เช่น กองทุนทริกเกอร์ AAA 5 เดือน 5% คือกองทุนที่เมื่อลงทุนแล้วจะได้ 5% ภายใน 5 เดือน ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับความเป็นจริง เพราะแท้จริงแล้ว กองทุนทริกเกอร์คือกองทุนที่ตั้งเงื่อนไขไว้ว่า “ในช่วงเวลาที่กำหนดไว้ ถ้าราคากองทุนขึ้นไปถึงเป้าหมาย
หรือได้กำไรตามที่ตั้งเป้าไว้ กองทุนจะทำการขายเพื่อ Take Profit ให้ โดยที่นักลงทุนไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนในช่วงระยะเวลาที่กำหนดไว้ได้เลย”

นั่นหมายความว่าถ้าระหว่างนั้นเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นก็สามารถขาดทุนได้เช่นกัน และการขาดทุนนั้นจะเป็นการขาดทุนแบบไม่มีขีดจำกัด คือลงได้เรื่อยๆ ตามสภาวะตลาดและขายไม่ได้แม้ว่าจะอยากขายเพื่อ Cut Loss แค่ไหนก็ตาม ดังนั้น ก่อนจะลงทุนอะไรก็ตาม “นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลในหนังสือชี้ชวน ก่อนตัดสินใจลงทุน”

  1. กองปันผล ดีกว่ากองไม่ปันผล

เรื่องนี้เป็นปัญหาโลกแตกของหลายๆ คน คือในใจก็อยากได้เงินปันผลแต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากเสียภาษีเงินปันผล 10% ครั้นจะไปเลือกกองทุนไม่จ่ายปันผลก็ไม่ชอบอีก เพราะเข้าใจไปว่ากองทุนที่ไม่มีนโยบายจ่ายปันผล คือ กองทุนที่ลงทุนในหุ้นที่ไม่มีเงินปันผลให้ ต่างกับกองทุนที่มีนโยบายจ่ายปันผลที่ไปลงในหุ้นที่มีการจ่ายปันผลอีกที ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด

เครดิตฟรี

จริงๆ แล้วการจะจ่ายหรือไม่จ่ายปันผลขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละกองทุน ไม่ได้เกี่ยวกับหุ้นหรือสินทรัพย์ที่กองทุนไปลงทุน เช่น กองทุน A และกองทุน B เป็นกองทุนที่ลงทุนใน SET50 เหมือนกัน โดยกองทุน A มีนโยบายจ่ายปันผล “ไม่น้อยกว่า 90% ของกำไรในแต่ละรอบ” และกองทุน B ไม่จ่ายปันผล ถึงตรงนี้มี 2 จุดที่ต้องทำความเข้าใจ

คำว่า “ไม่น้อยกว่า 90% ของกำไร” คำว่ากำไรในที่นี้หมายถึงทั้งส่วนต่างราคาและเงินปันผลที่กองทุนทำได้ในแต่ละรอบ (ดังนั้น ไม่สำคัญเลยว่าจะต้องลงทุนหุ้นที่จ่ายปันผลหรือไม่)
กองทุน B ที่ไม่จ่ายปันผล จริงๆ แล้วกองทุนก็ได้รับเงินปันผลจากหุ้นที่ลงทุนอยู่ เพียงแต่กองทุนไม่ได้จ่ายออกมาให้ผู้ถือหน่วย แต่นำไปลงทุนต่อรวมเป็นมูลค่ากองทุนให้เลย

ดังนั้น หากนักลงทุนจะต้องเลือกลงทุนสักกอง ควรเลือกตามวัตถุประสงค์ของตัวเอง คือ “ถ้าชอบให้มีกระแสเงินสดเข้ามาระหว่างที่ลงทุนก็เลือกแบบจ่ายปันผล (แต่ต้องยอมเสียภาษี 10%) แต่หากไม่ชอบเงินปันผล แต่อยากให้บลจ. นำกำไรไปลงทุนต่อเลย ก็เลือกแบบไม่จ่ายปันผลจะดีที่สุด” แล้วค่อยไปคัดเลือกกองทุนที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่นต่อ

  1. ถ้า บลจ. เจ๊ง! เงินต้นจะหาย

บางคนอาจจะเข้าใจว่า “ถ้าหาก บลจ. หรือผู้จัดการกองทุนที่บริหารกองทุนเกิดเจ๊ง เงินต้นฉันจะสูญหายหมด” แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย เพราะในการจดทะเบียนจัดตั้งกองทุนกับสำนักงาน ก.ล.ต. กองทุนนั้นจะต้องถูกจัดตั้งขึ้นในนามนิติบุคคล แยกออกจากสินทรัพย์ของ บลจ. ที่บริหารอย่างสิ้นเชิง นั่นหมายความว่าแม้ “บลจ .จะเจ๊ง แต่เงินที่อยู่ในกองทุนก็ยัง
ไม่ได้หายไปไหนแน่นอน” และเงินลงทุนที่อยู่ในกองทุนนั้นจะถูกโอนไปให้ “ผู้ดูแลผลประโยชน์” (ซึ่งก็คือธนาคารยักษ์ใหญ่หลายๆ แห่ง) เป็นผู้ดำเนินการเรื่องกฎหมายและจัดหา บลจ.ใหม่ หรือผู้จัดการกองทุนใหม่มาบริหารสินทรัพย์ของกองทุนกองนี้ต่อไป

สล็อต

  1. แยกไม่ออกระหว่าง บลจ. กับ บล.

ปัจจุบันนักลงทุนหลายๆ คนยังคงสับสนกันอยู่บ่อยครั้งว่า บลจ. กับ บล. ต่างกันอย่างไร จนบางคนก็เข้าใจผิดว่าคือที่เดียวกัน ซึ่งในความเป็นจริง บลจ. ก็คือธุรกิจที่ผลิตกองทุนหรือบริหารกองทุน จากนั้นก็ส่งกองทุนที่ผลิตไปให้ธนาคารหรือ บล. เป็นผู้ขาย ซึ่งทั้งธนาคาร (บางแห่ง) และ บล. นั้นสามารถขายกองทุนของ บลจ.หลายๆ แห่งได้ในที่เดียว

จากความเข้าใจผิดทั้ง 5 นักลงทุนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้นและคงไม่เป็นอะไรหากจะเข้าใจผิด แต่ในความเป็นจริงเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับผู้ที่เริ่มลงทุน ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่กองทุนรวมเท่านั้น ที่นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจกับลักษณะการลงทุนนั้นๆ ก่อนตัดสินใจลงทุน แต่รวมถึงการลงทุนทุกรูปแบบ เพื่อที่นักลงทุนจะ
ได้รับผลตอบแทนที่ดีและมีความสุขกับการลงทุน ศึกษาข้อมูลก่อนการลงทุน

You may also like...