มือใหม่ มือเก๋า เอาไงดีกับกองทุนรวม
ปีที่แล้วคงทราบกันดีแล้วว่ากองทุนรวมหุ้นแทบทุกกองมีผลการดำเนินงานติดลบ เนื่องจากตลาดการลงทุนมีความผันผวนสูง แต่หลังเฉลิมฉลองปีกุนเป็นต้นมา บรรยากาศการลงทุนกลับมาคึกคัก นักลงทุนมีความเชื่อมั่นว่าปัจจัยลบต่างๆ เริ่มคลี่คลาย ดัชนีหุ้นไทยมีแนวโน้มขยับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ผลการดำเนินงานของกองทุนหุ้นแทบทุกกองกลับมาเป็นบวก
“ผลตอบแทนรวมเงินปันผลจากตลาดหุ้นไทยถึงแม้จะไม่ได้สูงเหมือนปี 2559 – 2560 แต่ปีนี้ก็อยู่แถวๆ 8 – 10% ซึ่งเป็นระดับที่มีความเป็นไปได้สูง” สาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการ สายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ทิสโก้ ประเมิน
อย่างไรก็ตาม แม้ภาพรวมตลาดหุ้นไทยจะดูดีแต่ความผันผวนยังคงมีอยู่ต่อไป เมื่อเป็นเช่นนี้ หากเป็นมือใหม่ที่ต้องการลงทุนในกองทุนรวมหุ้น สาห์รัชแนะนำว่า “ให้เริ่มจากกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับกลางๆ (ระดับ 5) นั่นคือ กองทุนรวมผสม ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้น ผสม อสังหาริมทรัพย์ หรือตราสารหนี้ ซึ่งกองทุนผสมนี้จะมีความคาดหวังผลตอบแทนประมาณ 4% – 5%”
ผู้จัดการกองทุนจะจัดสัดส่วนการลงทุนในกองทุนรวมผสมให้เหมาะสมกับสถานการณ์แต่ละช่วง เพื่อสร้างผลตอบแทนการลงทุนให้ดีที่สุด ที่สำคัญเป็นการกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุน
สาห์รัช แนะนำว่า สำหรับมือใหม่ที่ไม่สามารถรับผลขาดทุนได้ “ไม่ควรลงทุนในหุ้นโดยตรง” แต่ถ้าสนใจลงทุนในหุ้น ควรลงทุนผ่านกองทุนหุ้นที่มีนโยบายการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ หุ้นบลูชิป และมีการกระจายการลงทุนเยอะๆ เช่น ลงทุนหุ้น 40 ตัว หรือ 50 ตัว ที่สำคัญขนาดกองทุนควรมีขนาดใหญ่ เช่น 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ผลการดำเนินงานไม่เหวี่ยงหวือหวา
ก่อตั้งมานานเกิน 5 ปี เพื่อพิสูจน์ฝีมือผู้จัดการกองทุน
ส่วนผู้ที่กำลังมองหากองทุนกองแรกในชีวิตเพื่อเป็นแหล่งออมเงินในระยะยาว สาห์รัชยังแนะนำ “ควรเป็นกองทุนรวมผสม” แต่อาจเน้นกองทุนที่มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไม่เยอะ เช่น 20% – 30% เนื่องจากมีความผันผวนด้านผลการดำเนินงานต่ำ
“อยากให้เรียนรู้กับการลงทุนกับกองทุนกองแรกในชีวิตก่อน” สาห์รัช บอก
ที่สำคัญ ก่อนตัดสินใจลงทุนในกองทุน ควรอ่านหนังสือชี้ชวนให้ละเอียดถี่ถ้วน เพื่อให้รู้ถึงนโยบายการลงทุน ระดับความเสี่ยง ผลงานในอดีตเทียบกับกองทุนประเภทเดียวกันว่าเป็นอย่างไร เทียบกับดัชนีมาตรฐานเป็นอย่างไร ความสามารถของผู้จัดการกองทุน บลจ. มีความน่าเชื่อถือแค่ไหน ค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายเป็นอย่างไร รวมถึงต้องทำการประเมินความสามารถ
ในการรับความเสี่ยงของตนเองว่าเหมาะกับกองทุนรวมประเภทไหน
“ควรเริ่มต้นลงทุนสัก 1 – 3 กอง และจัดพอร์ตการลงทุนเพื่อเป้าหมายระยะยาว ด้วยกลยุทธ์ที่เรียกว่า Core – Satellite Strategy” สาห์รัช กล่าว
โดยในพอร์ตการลงทุนที่ใช้ Core – Satellite Strategy จะประกอบด้วย ส่วนที่เป็น Core และ Satellite โดย Core คือกองทุนส่วนหลัก ควรมีสัดส่วนเงินลงทุนประมาณ 60% – 80% เป้าหมายให้เงินลงทุนมีมูลค่าเพิ่มจากการลงทุนในระยะยาว ที่เหลือเป็น Satellite ซึ่งเป็นกองทุนส่วนเสริม มีเป้าหมายในการทำกำไรในระยะสั้นถึงกลาง
สำหรับมือเก๋า มีคำถามว่าในช่วงนี้ควรปรับพอร์ตกองทุนหรือไม่ ซึ่งสาห์รัชเชื่อว่าหุ้นที่จะฟื้นตัวก่อน คือ หุ้นกลุ่มขนาดใหญ่ เนื่องจากเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติมีโอกาสสูงที่จะกลับเข้ามาซื้อหุ้น เนื่องจากประเทศไทยกำลังจะมีการเลือกตั้ง
“เวลาต่างชาติซื้อหุ้นไทย ต้องเล็งหุ้นกลุ่มขนาดใหญ่ก่อน ดังนั้น มือเก๋าต้องขยับพอร์ตจากกองทุนที่มีนโยบายลงทุนหุ้นทั่วไป ไปกองทุนที่มีนโยบายเน้นลงทุนหุ้นขนาดใหญ่”
อย่างไรก็ตาม สาห์รัชยังมองว่า หุ้นขนาดกลางบางตัวยังมีความน่าสนใจ เนื่องจากผลการดำเนินงานยังคงเติบโตต่อเนื่อง “ถ้าสนใจหุ้นขนาดกลาง ต้องเลือกกองทุนให้ดีๆ โดยเน้นไปที่ บลจ. ว่าเก่งลงทุนในหุ้นขนาดนี้หรือไม่ ถ้าเลือกหุ้นขนาดกลางเก่ง ผู้จัดการกองทุนมีฝีมือ กองทุนหุ้นขนาดกลางจะทำผลกำไรดีในปีนี้”
โดยสรุปแล้ว สาห์รัชแนะนำว่าปีนี้ควรเน้นลงทุนในกองทุนหุ้นที่มีนโยบายลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ และเผื่อเหลือเผื่อขาดบ้างกับกองทุนหุ้นที่มีนโยบายลงทุนหุ้นขนาดกลางที่มีผลการดำเนินงานเติบโตดีในระยะยาว นักลงทุนควรเรียนรู้เพิ่มเติม