8 เรื่องต้องรู้ สำหรับมือใหม่หัดลงทุนหุ้น
โดยส่วนตัวมักจะแนะนำให้ทุกๆ คนมีหุ้นอยู่ในพอร์ตการลงทุนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นคนที่อายุน้อยหรือคนที่เกษียณอายุแล้ว เพราะสำหรับคนที่อายุน้อย คุณยังมีเวลาในการทำงานเหลืออีกยาวนานกว่าจะเกษียณอายุ ดังนั้น หากเกิดผิดพลาดจากการลงทุนก็ยังสามารถแก้ตัวใหม่ได้ ส่วนคนที่เกษียณแล้วก็ควรมีหุ้นอยู่ในพอร์ตการลงทุนเช่นกัน เพื่อให้ผลตอบแทนของ
เงินเกษียณชนะหรือใกล้เคียงกับอัตราเงินเฟ้อ ทำให้เงินเกษียณในระยะยาวไม่ลดค่าลงมากเกินไป
เพียงแต่วิธีการลงทุนในหุ้นอาจจะแตกต่างกันไปตามความรู้ ความสามารถ และเวลาที่แตกต่างกันไปของแต่ละคน หากไม่มีเวลาหาข้อมูล ไม่มีเวลาเฝ้าติดตามข่าวสาร หรือไม่มีเวลาหาความรู้ในการลงทุน ต้องใช้บริการกองทุนรวม หากมีความรู้มากพอ หรือคิดอยากจะลงทุนด้วยตัวเองเพื่อหาประสบการณ์ในการลงทุน มีคำแนะนำดังต่อไปนี้
- เป้าหมายการลงทุน ควรเป็นเป้าหมายระยะยาวเป็นหลัก เช่น เพื่อการเกษียณอายุ เพื่อบรรลุอิสรภาพทางการเงิน เป็นต้น เพราะราคาหุ้นมีความผันผวนมากในระยะสั้น อาจมีการขึ้นลงของราคาได้จากปัจจัยต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกของบริษัท แต่ระยะยาวถ้าเป็นธุรกิจที่มีความแข็งแกร่ง ธุรกิจจะมีกำไรเติบโตไปตามภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ
ที่สุดแล้วราคาหุ้นจะปรับตัวไปตามผลประกอบการ ซึ่งมีโอกาสเป็นขาขึ้นมากกว่า - เงินที่นำมาลงทุนควรเป็นเงินเย็น หมายความว่า สามารถทิ้งไว้ได้ 7 ปีขึ้นไป โดยไม่ต้องถอนมาใช้ เพราะหากเป็นเงินที่ต้องใช้สำหรับเป้าหมายระยะสั้น อาจทำให้ต้องขายหุ้นก่อนเวลาอันสมควร ทำให้เสียโอกาสในการทำกำไร
- เลือกวิธีการลงทุนที่เหมาะสม เช่น หากเป็นคนที่ไม่มีเวลาติดตามหุ้นมาก อาจใช้วิธีลงทุนเท่ากันทุกเดือน (Dollar Cost Averaging: DCA) เพื่อลดโอกาสการลงทุนผิดพลาดจากการจับจังหวะลงทุน แต่ถ้ามีเวลาและความรู้มากพอ อาจรอซื้อในจังหวะที่ราคาหุ้นของบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งปรับลดลงชั่วคราว
- การบริหารพอร์ตโดยทำ Asset Allocation เป็นเรื่องสำคัญ ควรมีการติดตามตรวจสอบสม่ำเสมอว่าสัดส่วนในการลงทุนในหุ้นคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของพอร์ตการลงทุนรวม หากราคาหุ้นมีการปรับตัวสูงขึ้นทำให้สัดส่วนการลงทุนในหุ้นของพอร์ตสูงเกินที่กำหนด ควรขายทำกำไร เพื่อรักษาสัดส่วนให้เหมาะสมกับความเสี่ยงของตัวเราเอง
- ลดความเสี่ยงด้วยการกระจายการลงทุนในหลายๆ ธุรกิจ แต่ไม่ควรกระจายมากเกินไปจนไม่สามารถสร้างความเติบโตของพอร์ตการลงทุนได้ เช่น ลงทุนหุ้น 10 ตัว ตัวละ 10% หากหุ้นตัวที่ลงทุนกำไร 50% ก็คิดเป็นแค่ประมาณ 5% ของพอร์ตรวม อาจไม่ส่งผลต่อการเติบโตของพอร์ตมากนัก
- การบริหารเงินเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อจังหวะที่เหมาะสมมาถึงควรมีเงินเพื่อซื้อหุ้นเสมอ เช่น เมื่อเกิดภาวะวิกฤติเศรษฐกิจหรือเมื่อบริษัทที่ดีๆ เกิดมียอดขายลดลงชั่วคราว หากมีโอกาสมาถึงแล้ว แต่ไม่มีเงินสดในมือจะทำให้เสียโอกาสนั้นไป
- ไม่ควรกู้เงินมาลงทุนในหุ้นทั้งจากแหล่งเงินอื่นรวมทั้งการใช้บัญชีมาร์จิ้น เพราะหากเกิดความผิดพลาดจากการเลือกหุ้นอาจขาดทุนจากการถูกบังคับขาย ทั้งๆ ที่เป็นเวลาที่ควรจะต้องเข้าลงทุนเพิ่ม หากเป็นแหล่งเงินกู้อื่นๆ อาจมีภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย อย่าลืมว่ากำไรจากหุ้นยังอยู่ในอากาศ แต่ดอกเบี้ยเงินกู้เป็นของจริงที่เราต้องจ่ายแน่ๆ
- ควรเปรียบเทียบผลตอบแทนของพอร์ตกับตลาดหรือกองทุนรวมที่มีผลการดำเนินงานดีๆ หากพบว่าหลังจากลงทุนไปแล้ว 3 ปี 5 ปี ไม่สามารถชนะตลาดได้หรือไม่สามารถชนะกองทุนรวมได้ จงยอมรับว่าไม่เหมาะสมที่จะลงทุนด้วยตัวเอง ควรพิจารณาใช้บริการกองทุนรวม
การลงทุนในหุ้นด้วยตัวเองเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เหมาะกับผู้ที่มีเวลาติดตามข้อมูล ที่สำคัญต้องมีความรู้อย่างมาก เพราะในตลาดหุ้นมีผู้มีความรู้ระดับมืออาชีพมากมาย หากตัวเองไม่มีความรู้อาจเหมือนเนื้อที่กระโจนเข้าไปในฝูงเสือ รังแต่จะโดนเสือแทะและกลายเป็นอาหารเสียมากกว่า มือใหม่ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม