หุ้นไทย 1,600 จุด แพงไปหรือยัง?

ปี 2559 ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนสูงสุดอันดับ 3 ของโลก ที่ระดับ 19.79% เป็นรองแค่ตลาดหุ้นบราซิลและรัสเซีย จากบรรยากาศสดใสดังกล่าวทำให้นักลงทุนมองโลกในแง่ดีว่า ตลาดหุ้นไทยปีนี้จะยังคงสร้างผลตอบแทนไม่ต่างไปจากปีที่แล้ว แต่จากปัจจัยหลายๆ อย่างที่ยังคงไม่ชัดเจน อาจต้องทบทวนกับกลยุทธ์การลงทุนอีกครั้ง เพราะการ
“ซื้อ” แล้ว “ชิลล์” อาจจะใช้ไม่ได้กับหุ้นไทยในปีนี้

ไม่ว่าตลาดหุ้นจะอยู่ในสภาวะแบบไหน นักลงทุนต้องเตรียมพร้อมตลอดเวลาเพื่อทำให้การลงทุนประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะช่วงตลาดปรับขึ้นต่อเนื่องและกำลังใกล้ถึงเป้าหมายต้องเพิ่มความระมัดระวัง เพราะประโยค “ยิ่งสูง ยิ่งหนาว” ใช้ได้ดีกับตลาดหุ้น

ปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนรายย่อยเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มมากขึ้น เพราะมองว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีเหมือนเดิม แต่การที่เข้ามาช้ากว่านักลงทุนอื่นๆ ย่อมมีต้นทุนสูงกว่า

สล็อตออนไลน์

“นักลงทุนต้องระมัดระวังเพิ่มขึ้น เพราะหากตลาดผันผวน นักลงทุนที่มีต้นทุนต่ำ เมื่อขายออกมายังมีกำไร แต่ถ้ามีต้นทุนสูงก็อาจจะขาดทุน” คุณอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าว

ในช่วงบรรยากาศตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น นักลงทุนอาจจะสร้างผลตอบแทนได้ง่าย แต่ถ้าตลาดผันผวนหรือมีแนวโน้มเป็นช่วงขาลง หากไม่มีกลยุทธ์ที่ดีหรือตัดสินใจผิดพลาดย่อมสร้างความเสียหายให้กับพอร์ตลงทุนได้

คุณอาภาภรณ์ บอกว่าหากดูการประเมินดัชนีหุ้นไทยของนักวิเคราะห์ ทุกคนมองว่าปีนี้น่าจะอยู่ระดับประมาณ 1,650 จุด ถึงแม้จะมองเป็นขาขึ้นแต่ตั้งข้อสังเกตได้ว่า Upside Gain เริ่มลดน้อยถอยลง แต่สิ่งที่จะเพิ่มสูงขึ้น ก็คือ ความผันผวน

“ปัจจุบันดัชนีหุ้นไทยซื้อขายแถวๆ 1,600 จุด ก็เหลืออีกประมาณ 50 จุดก็จะถึงระดับที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ หรือราว 3 – 4% เท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้นักลงทุนเริ่มมีมุมมองว่า 1,600 จุด แพงแล้วหรือยัง และเมื่อคำถามนี้มีมาเรื่อยๆ ทำให้ดัชนีหุ้นผ่าน 1,600 จุดไปได้ยาก” คุณอาภาภรณ์ เล่า

ดังนั้น คำถามต่อมาจากนักลงทุน ก็คือ แล้วมีปัจจัยอะไรที่จะมากระตุ้นให้ตลาดหุ้นไทยไปต่อได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจากการประเมินแล้วก็ยังไม่มีปัจจัยอะไรที่ชัดเจน

คุณอาภาภรณ์เล่าว่าหากดูประมาณการเติบโตเศรษฐกิจไทยของนักวิเคราะห์ ดูเหมือนจะออกไปในโทนเดียวกันว่าปีนี้ยังคงเติบโตต่ำกว่า 4% ส่วนภาคการส่งออกปรากฏว่าปีที่แล้วการส่งออกของไทยเติบโต 0.45% และปีนี้ประมาณการว่าจะเติบโตราว 2% ดีสุดน่าจะโตแถวๆ 3%

หันไปดูเศรษฐกิจโลก ปีนี้ต้องจับตาเป็นพิเศษ โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ทยอยออกมาเรื่อยๆ นั้นจะกระเทือนต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกมากน้อยแค่ไหน หากส่งผลเชิงลบย่อมทำให้การส่งออกของไทยกระเทือนไปด้วย อีกทั้ง ให้จับตาฝั่งยุโรป เพราะปีนี้จะมีการเลือกตั้งในเยอรมันและฝรั่งเศส รวมถึงผลกระทบจาก Brexit ของอังกฤษด้วย

jumboslot

“อย่างเช่น นโยบายของทรัมป์ที่สนับสนุนให้ผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาน้ำดิบที่คาดว่าจะปรับขึ้นอย่างรวดเร็วอาจจะชะลอตัว แน่นอนหุ้นกลุ่มพลังงานที่นักวิเคราะห์ประเมินว่าจะได้รับผลประโยชน์เชิงบวกจากราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น อาจจะต้องประเมินกันใหม่” คุณอาภาภรณ์ กล่าว

ก่อนหน้านี้ Bloomberg ประเมินเอาไว้ว่าอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ตลาดหุ้นไทยปี 2560 จะเติบโตประมาณ 11.9% แต่หลังจากมีความกังวลกับปัจจัยต่างๆ จึงได้ปรับประมาณการเหลือแถวๆ 10% เช่นเดียวกับ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ประเมินเอาไว้ที่ระดับ 7%

“การปรับขึ้นของตลาดหุ้นไทยจากนี้ไป ไม่ง่ายเหมือนที่นักลงทุนเห็นตอนปีที่แล้ว ดังนั้น การที่นักวิเคราะห์ประเมินดัชนีหุ้นไทยที่ระดับ 1,650 จุด อาจจะไม่เห็นในเร็วๆ นี้” คุณอาภาภรณ์ บอก

คุณอาภาภรณ์กล่าวต่อไปว่า ถ้าตลาดหุ้นไทยจะไปต่อต้องมีปัจจัยมาสนับสนุน นั่นก็คือ บริษัทจดทะเบียนจะต้องมีผลกำไรให้เติบโตและเศรษฐกิจไทยต้องเติบโตมากกว่าปัจจุบัน

“ถ้าทุกอย่างเติบโต นักลงทุนจะยอมรับความเสี่ยงได้สูงขึ้น ยอมจ่ายในราคาที่แพงขึ้นได้ แต่ในช่วงที่ยังไม่มีอะไรชัดเจนหรือยังไม่มีปัจจัยมากระตุ้นตลาดหุ้นไทย ต้องเพิ่มความระมัดระวังการลงทุนมากขึ้น”

คุณอาภาภรณ์ย้ำว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยปีนี้ต้องเพิ่มความระมัดระวัง เพราะมีปัจจัยที่ไม่แน่นอน สามารถทำให้ตลาดหุ้นผันผวนได้ตลอดเวลา ทั้งปัจจัยภายนอก ซึ่งที่แน่ๆ ก็คือ นโยบายจากทรัมป์ การเลือกตั้งเยอรมันและฝรั่งเศส และปัจจัยภายในประเทศ เช่น โครงการเมกะโปรเจกต์ ที่ยังไม่แน่นอน รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบต่างๆ
เช่น การปรับขึ้นภาษีน้ำมันสรรพสามิตเครื่องบิน การใช้ที่ดิน สปก. ในการผลิตไฟฟ้าพลังงานลม

เครดิตฟรี

“เรื่องเหล่านี้มีผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย”

กลยุทธ์การลงทุน

โดยปกติการลงทุนมี 2 ด้าน นั่นคือ ผลตอบแทน (Return) และความเสี่ยง (Risk) โดยปีที่แล้วตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนในระดับน่าประทับใจ แต่ปีนี้ผลตอบแทนอาจไม่เท่ากับปีที่แล้ว บวกกับปัจจัยที่ยังไม่ชัดเจนต่างๆ ที่อาจส่งผลเชิงลบต่อการลงทุน ดังนั้น ปีนี้นักลงทุนต้องเน้นด้านการบริหารความเสี่ยง

“ต้องกำหนดผลตอบแทนจากการลงทุนให้สอดคล้องกับความเสี่ยงด้วย”

คุณอาภาภรณ์แนะนำว่า การทำให้พอร์ตลงทุนมีความเสี่ยงลดน้อยลง คือ เน้นลงทุนระยะยาว เพิ่มสัดส่วนหุ้นที่มีความปลอดภัย (Defensive Stock) เน้นหุ้นที่มีเบต้า (Beta) ต่ำ นอกจากนี้ ให้พิจารณาธุรกิจที่มีแนวโน้มธุรกิจดี มีความต่อเนื่องการขยายธุรกิจ ฐานะการเงินแข็งแกร่ง จ่ายปันผลสม่ำเสมอ มีธรรมาภิบาลในการดำเนินธุรกิจ

“ไม่ได้แนะนำให้เลิกลงทุนในหุ้น แต่ให้รู้จักบริหารความเสี่ยงด้วยการเลือกหุ้นที่มีความปลอดภัยสูง เพื่อลดความเสี่ยงจากพอร์ตลงทุน”

สล็อต

แน่นอนเมื่อความเสี่ยงต่ำ หุ้นประเภทดังกล่าวก็ให้ผลตอบแทนต่ำด้วย นักลงทุนจึงต้องกำหนดเป้าหมายของความคาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนให้สมเหตุสมผลกับการบริหารจัดการความเสี่ยง

“นักลงทุนที่เพิ่งเข้าตลาดหุ้นไทยที่ดัชนีแถวๆ 1,600 จุด ก็ลงทุนได้ เพียงแต่ให้ความสำคัญกับเรื่องการบริหารความเสี่ยงและตั้งเป้าเรื่องผลตอบแทนให้เหมาะสมกับสภาวะตลาด ถ้าทำได้แบบนี้ได้จะประสบความสำเร็จในทุกสภาวะ ณัฐมล กล่าว

You may also like...