มือใหม่… ฝึกวิเคราะห์ค้นหาหุ้น Growth Stock
ประมาณปลายๆ ทศวรรษ 1990 เป็นยุคของกิจการเทคโนโลยีที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ส่งผลให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเป็นที่หมายปองของนักลงทุนทั่วโลก ราคาหุ้นปรับขึ้นรวดเร็วราวติดจรวดจนกลายเป็นหุ้นที่ถูกขนานนามว่า “หุ้นเติบโต หรือ Growth Stock” แต่นั่นก็ไม่ได้ความว่านักลงทุนทุกคนจะประสบความสำเร็จ เพราะขึ้นชื่อว่าผลตอบแทนงามๆ
ย่อมมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นตามไปด้วย
หุ้นเติบโต ส่วนใหญ่เกิดจากธุรกิจที่กำลังขยายกิจการ ใช้เงินลงทุนในแต่ละปีค่อนข้างสูง และเงินลงทุนมักจะเป็นเงินที่กู้ยืมจากสถาบันการเงิน ซึ่งตามทฤษฎีแล้วยอดขายและกำไรของบริษัทเหล่านี้จะเติบโตอย่างรวดเร็ว
และเมื่อได้กำไรก็จะนำไปลงทุนหรือขยายธุรกิจต่อไป ดังนั้น ผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดจะเป็นตัวผลักดันให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วตามไปด้วย
นักลงทุนที่กำลังมองหาหุ้นเติบโตอาจจะสงสัยว่ามีวิธีการคัดกรองหุ้นอย่างไร?
โดยรวมแล้วหนีไม่พ้นการมองและแสดงความกังวลกับศักยภาพการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต รวมถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพการบริหารงานของบริษัท รวมถึงภาพรวมของอุตสาหกรรมนั้นๆ
นั่นหมายความว่า หากจะประสบความสำเร็จกับการลงทุนในหุ้นเติบโต ก็คือ ให้มองไปที่ยอดขาย กำไร ความสามารถที่ราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นในวันข้างหน้ามากกว่าการเลือกหุ้นเติบโตจากหุ้นที่มีราคาต่ำ เมื่อมองกันแบบนี้ หุ้นเติบโตจึงมักจะมีค่า P/E Ratio และ P/BV Ratio อยู่ในระดับสูง (ส่วนใหญ่จะสูงกว่าหุ้นคุณค่า (Value Stock))
ดังนั้น ก่อนจะตัดสินใจลงทุนหุ้นเติบโต นักลงทุนควรพิจารณาประเด็นเหล่านี้
1.การเติบโตของผลกำไรในอดีตต้องแข็งแกร่ง
การเติบโตของผลกำไรในอดีตจะต้องอยู่ในขั้นน่าประทับใจ โดยดูจากการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ว่าเป็นอย่างไร ซึ่งระดับการเติบโตก็สามารถกำหนดได้ตามที่ต้องการ
วิธีการก็คือ ให้แยกขนาดของกิจการเป็น ขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ เช่น ธุรกิจยังมีขนาดเล็กพึ่งเริ่มต้นดำเนินการไม่กี่ปี อัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นอาจจะอยู่ที่ระดับ 5% หรือ 6% ต่อปี ถ้าขนาดธุรกิจขนาดกลาง อัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นอาจจะอยู่ที่ระดับ 7% หรือ 8% ต่อปี ส่วนธุรกิจขนาดใหญ่ อัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นอาจจะอยู่
ที่ระดับ 10% หรือ 12% ต่อปี
โดยอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นควรจะดูย้อนหลังไปหลายๆ ปี หรือดูตั้งแต่เริ่มต้นดำเนินธุรกิจได้ยิ่งดี เพราะหากมีอัตราการเติบโตของกำไรดีต่อเนื่องติดต่อกันหลายปี จึงจะแสดงให้เห็นว่าธุรกิจมีความแข็งแกร่ง
2.การเติบโตของกำไรในอนาคตต้องไว้ใจได้
เมื่อผลงานการเติบโตของกำไรในอดีตดี อนาคตก็ควรจะไว้วางใจได้เช่นเดียวกัน โดยอัตราการเติบโตของกำไรในอนาคตควรจะอยู่ที่ระดับ 10% หรือ 15% ต่อปี หรือมากกว่า (ขึ้นอยู่กับขนาดของธุรกิจ) โดยการวิเคราะห์และประมาณการนี้สามารถดูได้จากบทวิเคราะห์จากนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ โดยสามารถดูเพื่อเปรียบเทียบจากหลายๆ แหล่งเพื่อสร้างความมั่นใจมากยิ่งขึ้น
3.การบริหารจัดการด้านต้นทุนและรายได้
วิธีการดูว่ากิจการนั้นมีความแข็งแกร่งในด้านการดำเนินงานอย่างแท้จริงหรือไม่นั้น สามารถสังเกตได้จากอัตรากำไรขั้นต้น (Profit Margin) ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดกิจการว่ามีความสามารถในการแข่งขันมากน้อยแค่ไหน ถ้าผู้บริหารมีประสิทธิภาพจะทำให้กำไรขั้นต้นอยู่ในระดับสูงได้อย่างต่อเนื่อง และยิ่งช่วงที่เศรษฐกิจมีความซบเซาหรือเกิดวิกฤติต่างๆ ถ้ายังคงรักษาระดับ
กำไรขั้นต้นได้ดียิ่งแสดงถึงความมีศักยภาพของกิจการ ในทางตรงกันข้ามหากกิจการใดที่มีกำไรขั้นต้นต่ำหรือติดลบ (ขาดทุน) แสดงว่ามีต้นทุนสูง และไม่มีความสามารถในการควบคุมค่าใช้จ่าย
ดังนั้น กำไรขั้นต้นที่ดีสามารถดูได้จากรายได้และผลกำไรสทธิที่ต้องเติบโตอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ รวมถึงอัตรากำไรสุทธิต้องสูงและสม่ำเสมอเช่นเดียวกัน
วิธีการ ก็คือ เปรียบเทียบผลกำไรสุทธิ อัตรากำไรสุทธิในปัจจุบันกับอดีตที่ผ่านมา รวมถึงเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน หากมีการเติบโตที่ดีสะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันคือแสดงให้เห็นว่ากิจการรักษารายได้และอัตรากำไรขั้นต้นได้น่าประทับใจ
4.ความสามารถในการดำเนินงานและประสิทธิภาพ
ประสิทธิภาพของกิจการสามารถดูได้จากอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) โดยสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารงานเพื่อให้เกิดผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นดังนั้นค่า ROE ควรอยู่ในระดับสูงๆ สำหรับการเปรียบเทียบค่า ROE ว่าบริษัทไหนดีที่สุด ควรนำค่า ROE เฉลี่ยประมาณ 5 ปีที่ผ่านมาเทียบแล้วดูว่าบริษัทไหนมีค่าเฉลี่ยที่ดีที่สุด
และที่สำคัญควรจะมีค่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของหุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกันด้วย
5.ราคาหุ้นควรจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในอนาคต
ตามทฤษฎีแล้วราคาหุ้นที่เป็นหุ้นเติบโตนั้นควรจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น ราคาหุ้นควรเพิ่มขึ้น 2 เท่าใน 5 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ระดับราคาที่เพิ่มขึ้นได้มากหรือน้อยแค่ไหนนั้น สามารถวิเคราะห์ได้จากการเติบโตของรายได้หรือผลกำไรของกิจการ ถ้าหากมีอัตราการเติบโตสูงและรวดเร็ว ราคาหุ้นก็น่าจะสามารถปรับขึ้นได้เช่นกัน
หากให้ความใส่ใจและศึกษาผลการดำเนินงานของกิจการอย่างถี่ถ้วนเป็นประจำจะพบว่าการค้นหาหุ้นเติบโตไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ขอเพียงเริ่มต้นให้ถูกทาง จากนั้นค่อยๆ วิเคราะห์เพื่อเลือกหุ้นที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง การลงทุนมีความเสี่ยงนักลงทุนคิดให้ดีก่อนลงมือทำ