แนวคิดการซื้อขายช่วงตลาดปรับฐานรุนแรง

“นักลงทุนทุกคนสามารถทำกำไรได้มากมายในช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น ปัจจัยบวก แรงจูงใจ และสภาพคล่อง ผลักดันให้หุ้นเกือบทั้งตลาดขึ้นได้ แต่เมื่อตลาดปรับฐานและเป็นขาลง จะมีเพียงกลุ่มนักลงทุนบางส่วนในตลาดเท่านั้นที่จะสามารถรักษาเงินทุนและกำไรเอาไว้ได้”

ดังนั้น หากตลาดหุ้นเริ่มปรับฐานและมีสัญญาณที่มีโอกาสสร้างความเสียหายให้กับพอร์ตลงทุน นักลงทุนต้องเริ่มระวังทันที ยกตัวอย่างสัญญาณดังกล่าวได้ดังนี้

สล็อตออนไลน์

  1. ตลาดเริ่มผันผวนรุนแรง
  2. พฤติกรรมราคาของกลุ่มหุ้นนำตลาด ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่นำตลาดทั้งช่วงขาขึ้นและขาลง
  3. ผลการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงของนักลงทุน ถ้าซื้อขายหุ้นด้วยหลักการเดิมและทำกำไรได้ดีมาตลอด แต่เมื่อผลการลงทุนช่วงหลังเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ ต้องตระหนักแล้วว่าตลาดกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง และอาจจะมีบางอย่างที่ไม่ดีหรือผิดปกติเกิดขึ้น
  4. Sentiment โดยรวมของตลาดและนักลงทุนสวนใหญ่เริ่มตื่นตระหนก (Panic)
  5. เมื่อใดก็ตามที่ตลาดมีการซื้อขายอยู่ต่ำกว่าเส้น MA 200 วัน (เส้น MA 200 วันถือว่ามีนัยยะ เพราะบ่งบอกถึงแนวโน้มระยะยาว) มีโอกาส 1 ใน 3 (30%) ที่จะเกิดเหตุการณ์หรือข่าวไม่ดีที่อาจส่งผลกระทบเชิงลบ
  6. ราคาหุ้นเริ่มไม่สามารถปรับขึ้นได้อย่างง่ายดาย หรือหุ้นเริ่มทยอยหลุดแนวรับทีละตัว

jumboslot

โดยจะสังเกตได้ว่าหลังจากตลาดหุ้นปรับฐานลงแล้ว ตลาดหุ้นและนักลงทุนจะมีพฤติกรรม ดังนี้

  1. ในช่วงแรกของการปรับฐาน นักลงทุนส่วนใหญ่จะยังไม่รับรู้ว่าตลาดไม่ดีและคิดว่าคงไม่มีอะไรเหมือนกับครั้งก่อนๆ จึงไม่เพิ่มความระมัดระวัง และเมื่อเข้าสู่ช่วงที่ตลาดปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนมักจะตื่นตระหนก และจะขายหุ้นในช่วงท้ายๆ ของตลาดขาลง (Bottom Process)
  2. การที่นักลงทุนส่วนใหญ่ปรับตัวช้ากว่าที่ควรจะเป็น แล้วตัดสินใจขายหุ้น ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ที่เตรียมพร้อมรับมือเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
  3. จุดต่ำสุดของตลาด (Market Bottom) จะเกิดได้จากแรงซื้อจำนวนมากมาสนับสนุนให้ตลาดและหุ้นเริ่มกลับตัวได้จริง (Follow-Through Day, หุ้นนำตลาด Breakout) ไม่ใช่เกิดจากแรงขายจำนวนมาก
  4. กว่าที่ตลาดและหุ้นจะเกิด Uptrend รอบใหม่แต่ละครั้งจะต้องใช้เวลานานพอสมควร ถ้าช่วงไหนเห็นว่าหุ้นยังผันผวนมาก (High Volatility) แสดงว่าการปรับฐานอาจจะยังมีอยู่ เพราะแนวโน้มที่ชัดเจนจะเกิดในช่วงที่ความผันผวนเริ่มน้อยลง ตลาดและหุ้นรายตัวจะไม่เหวี่ยงขึ้นๆ ลงๆ รุนแรงมากนัก
  5. ถ้าตลาดหุ้นยังผันผวนรุนแรง นักลงทุนสามารถเลือกได้ว่าจะหยุดพักรอดูสถานการณ์ ลดการซื้อขาย หรือซื้อขายระยะสั้นลง เพื่อรอดูความชัดเจนของทิศทางตลาดว่าจะกลับตัวเป็นขาขึ้นได้หรือเปลี่ยนเป็นขาลงเต็มตัว ซึ่งจะมีผลต่อกลยุทธ์การลงทุนในระยะถัดไป
  6. การ Short ในขาลง ไม่ควรคิดถึงระยะยาวเป็นหลัก เพราะตลาดมักจะมีช่วงเด้งแรงกลับไปหาแนวต้านเดิม (Bear Market Rally) ซึ่งอาจจะทำให้กำไรที่ได้มาหายไปเกือบหมดได้

เครดิตฟรี

  1. การปรับฐานโดยมากแล้วมักจะกินเวลาไม่นาน จากนั้นไม่นานตลาดก็จะกลับตัวได้ แต่ถ้าหากตลาดปรับฐานนานแล้วยังไม่สามารถกลับตัวได้ ก็มีโอกาสที่จะเกิดภาวะหมี หรือ Bear Market โดยนิยามของภาวะหมีคือ ตลาดที่ซื้อขายอยู่ใต้เส้น MA 200 วัน ต่อเนื่องเป็นเวลานาน (ทุกครั้งที่ตลาดร่วงแรงและยาวนานมักจะเกิดเมื่อตลาดอยู่ใต้เส้น 200 วัน)
  2. ในช่วงตลาดขาลง ให้โฟกัสหุ้นที่แสดงตัวว่าแข็งแกร่งชัดเจนคือ ไม่ลงตามตลาด ขึ้นสวนวันที่ตลาดลงแรง เพราะถึงแม้ว่าตลาดเป็นขาลง แต่ก็พอจะมีหุ้นบางตัวที่ขึ้นสวนตลาดได้เป็นระยะ ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี แม้ว่าจะลงทุนยากกว่าช่วงปกติก็ตาม

โดยทั่วไปการปรับฐานจะมี 5 Stage ได้แก่

  1. ช่วงเริ่มต้นการปรับฐาน ตลาดจะเกิดการร่วงลงอย่างเร็วแรง ใช้เวลาประมาณ 1 – 3 สัปดาห์ ทำให้ตลาดเริ่มติดลบประมาณ 5 – 10% หรือมากกว่านั้น เกิดภาวะ Oversold และตลาดปิดต่ำกว่า MA 200 วัน
  2. การเด้งแรงๆ ในช่วงแรกหลังจากตลาด oversold โดยการเด้งในช่วงนี้ ตลาดมักจะไปชนแนวต้านที่เส้น MA หลักๆ คือ MA 20, 50 หรือ 200 วัน แล้วเริ่มลงต่อ
  3. ภาวะตลาดผันผวนรุนแรง คือ ช่วงที่ตลาดผันผวนขึ้นลงรุนแรงสลับกัน โดยตลาดและราคาหุ้นรายตัวจะเหวี่ยงมากในแต่ละวัน เป็นช่วงที่ลงทุนได้ยากมาก ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายซื้อหรือขายก็ตาม

สล็อต

  1. การทดสอบฐานเดิมของตลาดที่เกิดขึ้นในข้อ 1 จะมีจุดสังเกตที่สำคัญ ดังนี้

4.1 เริ่มเกิดสัญญาณที่มีความขัดแย้งกัน (Divergence) ในเชิงบวก เช่น ตลาดหุ้นโดยรวมทำ New Low แต่มีหุ้นทำ New Low น้อยลง ตลาดโดยรวมทำ New Low แต่มีหุ้น Breakout หรือมีหุ้นส่วนใหญ่เริ่มไม่ลงตามตลาด เป็นต้น

4.2 ถ้าตลาดเด้งแล้วไม่สามารถยืนได้ หลังจากการ Retest Low แสดงว่ามีโอกาสอยู่ในภาวะตลาดหมี หรืออย่างน้อยก็น่าจะต้องเจอการปรับฐานที่ยาวนานกว่าปกติ

  1. ช่วงการฟื้นตัวของจริง ช่วงนี้ตลาดและหุ้นส่วนใหญ่จะเริ่มมีทิศทางเดียวกัน นั่นคือแรงซื้อจะมากจนตลาดและราคาหุ้นปรับขึ้นรวดเร็ว โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นนำตลาด แม้จะเกิดภาวะ Overbought แต่ตลาดก็จะไม่ลงแรงมากนัก ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการลงทุนครับ

You may also like...