ตลาดหุ้นกับความจริง 4 ประการ

นับตั้งแต่หลังเกิดวิกฤติซับไพร์มเป็นต้นมา เศรษฐกิจโลกขยายตัวเดินหน้าแบบเต็มสูบ นำโดยเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่เติบโตเต็มที่ เศรษฐกิจยูโรโซนฟื้นตัว เศรษฐกิจเอเชียขยายตัวแข็งแกร่ง และถึงแม้ในช่วงต้นปี 2561 จะมีความน่ากลัวแฝงตัวอยู่ เช่น ตลาดหุ้นปรับขึ้นติดต่อกันหลายปี ซึ่งในความจริงแล้วการลงทุนหุ้นควรเป็นปีที่ต้องเพิ่มความระมัดระวังตัว แต่เนื่องจากมีปัจจัยบวกสนับสนุน
ทำให้นักลงทุนยังมองโลกในแง่ดีต่อไป

ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น โดยช่วงต้นปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเติบโตดีขึ้นเรื่อยๆ นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นไปทำลายสถิติที่ 1,838.96 ซึ่งนับเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อเดือนเมษายนปี 2518 โดยบางวันมูลค่าการซื้อขายทะลุแสนล้านบาท เลยทีเดียว

“การลงทุนหุ้นไทยเมื่อปีที่ผ่านมา ภาพทุกอย่างสวยงามมาก” วีระพงษ์ ธัม นักลงทุนหุ้นคุณค่า เลขาธิการและกรรมการ สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) บอก

สล็อตออนไลน์

อย่างไรก็ตาม เมื่อปัจจัยลบต่างๆ เริ่มส่งผล ทำให้นักลงทุนมีความกังวล จึงเริ่มลดพอร์ตหุ้นตั้งแต่ครึ่งปีหลัง ส่งผลให้ตลาดผันผวนและปรับลดลงต่อเนื่อง ขณะที่นักลงทุนที่ปรับตัวช้าหรือยังคงมองโลกในแง่ดีก็ต้องเจ็บตัว (ภาษานักลงทุน เรียกว่า ติดดอย)

“เมื่อมองภาพสวยงาม ทุกอย่างเลยบังตาหมด ซึ่งความจริงแล้วตลาดหุ้นจะมีประวัติศาสตร์ที่เกิดซ้ำรอยเดิม (History repeats itself) ตลอด และความผันผวนในปีที่ผ่านมาถือเป็นเรื่องธรรมชาติ” วีระพงษ์ บอก

เมื่อทุกอย่างผ่านไปแล้ว วีระพงษ์ย้อนกลับไปทบทวนเพื่อดูภาพการลงทุน พร้อมตั้งคำถามว่าจากนี้ไปจะมีความท้าทายอะไรบ้าง

ตลาดหุ้นทั่วโลกแพงมานานแล้วและแพงขึ้นเรื่อยๆ เช่น ตลาดหุ้นไทย ซื้อขายระดับ P/E Ratio 18 เท่า บางช่วงทะลุ 20 เท่า และไม่เพียงตลาดหุ้นที่แพง ราคาสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ ก็มีราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ

“ปัจจัยสำคัญประการหนึ่ง ก็คือ ตั้งแต่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ นักลงทุนเน้นลงทุนในหุ้นและสินทรัพย์อื่นๆ และเมื่ออัตราดอกเบี้ยขยับขึ้น นักลงทุนยังเคยชินและไม่มีทางเลือก จึงยังลงทุนต่อไป ถึงแม้ราคาจะแพงขึ้น ขณะเดียวกันยังคงปล่อยการ์ดต่ำ หมายถึง ไม่เพิ่มความระมัดระวัง เหมือนนักมวยที่ชกแล้วได้ใจ” วีระพงษ์ กล่าว

jumboslot

ธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่เฉพาะเหล่าเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทำลายธุรกิจดั้งเดิม (Disruption) ยังหมายรวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว โดยพฤติกรรมดังกล่าวได้กลายเป็นแฟชั่นมากขึ้น หมายถึง เปลี่ยนใจกันเร็วมาก วันนี้ฮิตเรื่องนี้ เดือนหน้าก็ไปฮิตเรื่องอื่น

“ความจริงแล้วการ Disruption เกิดขึ้นมานานแล้ว แต่ค่อยเป็นค่อยไป จนนักลงทุนอาจจะไม่ทันสังเกต เช่น ปีที่ผ่านมาถึงแม้กระแส Disruption จะมาแรง แต่นักลงทุนยังมองภาพในระยะสั้นๆ จึงไม่เพิ่มความระมัดระวังกับการลงทุน หลายๆ อย่างอาจมองว่าเป็นการเติบโตที่ยั่งยืนแต่ความจริงแล้วไม่ยั่งยืน ดังนั้น อาจเกิดความเสี่ยงในระยะยาวได้ เชื่อว่าจากนี้ไปจะเป็นยุคของการ
Disruption และพฤติกรรมการบริโภคแบบแฟชั่นอย่างแท้จริง”

ความไม่แน่นอนมีตลอดเวลา ต้นปี 2561 ที่ภาพทุกอย่างสวยงาม แต่ครึ่งปีหลังกลับเป็นภาพที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เช่น เศรษฐกิจโลกมีความอ่อนแอ และเมื่อนักลงทุนเริ่มตระหนักก็เริ่มกังวลและกังวลกันทั้งโลก ดังนั้น ตลาดจึงเต็มไปด้วยอารมณ์ ทั้งๆ ที่ประเด็นอัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น หรือสงครามการค้า มีมาก่อนครึ่งหลังปีที่ผ่านมา

ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยการปั้นเรื่องราว (หรือ Story) ในความจริงตลาดหุ้นมี Story ทุกยุค แต่ความน่ากลัวของเรื่องนี้อยู่ในช่วงตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น “ต้องยอมรับว่าราคาหุ้นบางตัวถูกดันขึ้นด้วย Story และเข้าสู่ฟองสบู่ และสุดท้ายหุ้นเหล่านี้ก็ฟองสบู่แตก”

สภาวะการแข่งขันของนักลงทุนสูงขึ้น หมายถึง นักลงทุนมีความรู้ ความสามารถมากขึ้น ทุกคนที่อยู่ในสนามเก่งขึ้น นอกจากนี้ เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทต่อการลงทุน ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญของนักลงทุน “ดังนั้น หากใครช้า มีข้อมูลไม่เพียงพอ อาจจะเกิดความผิดพลาดในการลงทุนได้”

เมื่อนักลงทุนรับรู้ความท้าทายดังกล่าวแล้ว วีระพงษ์ ลองกลับไปดูในอดีตว่าเกิดอะไรขึ้นกับการลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งก็ได้พบกับความจริง 4 ประการ คือ

  1. ไม่มีคำว่า “รวยเร็ว” หากต้องการความสำเร็จอย่างยั่งยืนจากการลงทุนในตลาดหุ้นต้องอาศัยเวลา อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 2559 – 2560 นักลงทุนได้รับผลตอบแทนอย่างงดงามจากหุ้นไทย เนื่องจากเป็นขาขึ้นและราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้นักลงทุนลืมระมัดระวังเรื่องความเสี่ยง ทำให้เมื่อถึงเวลาที่ตลาดหุ้นปรับลดลงต่อเนื่อง นักลงทุนส่วนใหญ่จึงขาดทุน
    กำไรที่ได้มาเมื่อ 2 ปีก่อนหน้า คืนตลาดไปทั้งหมด

“หากต้องการประสบความสำเร็จจากหุ้นไทยในปีนี้และปีต่อๆ ไป ต้องลดความคาดหวังจากการลงทุนลง และยอมรับความจริงว่าการลงทุนมีความยากมากยิ่งขึ้น”

เครดิตฟรี

  1. การ์ดตก นักลงทุนมักเชื่อมั่นตัวเองว่า “รู้ทุกเรื่อง” สามารถลงทุนหุ้นได้ทุกตัว วางกลยุทธ์ได้ทุกกระบวนท่า แต่ความจริงการลงทุนหุ้นแต่ละตัวเพื่อให้ประสบความสำเร็จต้องใช้เวลาและศึกษาข้อมูลมากกว่าที่คิดเอาไว้ ที่สำคัญต้องมีความเข้าใจกับหุ้นที่ลงทุน เช่น ตั้งคำถามกับตัวเองก่อนว่าถ้าเกิดกรณีเลวร้ายที่สุดกับหุ้นตัวนี้ บริษัทนี้คืออะไร และถ้าเกิดขึ้นแล้วจะทำอย่างไร
  2. อย่าลืมความเสี่ยง นักลงทุนต้องเข้าใจว่าตลาดหุ้นเต็มไปด้วยความเสี่ยงและความเสี่ยงมีหลากหลายรูปแบบ ความเสี่ยงสูงสุด คือ การมีหนี้เกินตัว หมายถึง วิกฤติจะไม่เกิดขึ้นหากประเทศนั้น บริษัทนั้น หรือคนนั้น “ไม่มีหนี้เกินตัว” เช่น นักลงทุนกู้เงินมาลงทุน เล่นมาร์จิ้น หรือบางคนมีหนี้สินอื่นๆ พ่วงด้วย เช่น หนี้รถ หนี้อสังหาริมทรัพย์ เมื่อรวมๆ หนี้เข้าด้วยกันอาจมีภาระมากจนเกินไป ดังนั้น
    หากเกิดวิกฤติ จะทำให้มีปัญหากับการจ่ายหนี้คืน

นอกจากนี้ นักลงทุนอาจมีความเชื่อว่าหุ้นทุกตัวมีสภาพคล่อง แต่ความจริงหุ้นขนาดเล็กบางตัวไม่มีสภาพคล่อง โดยเฉพาะในช่วงตลาดหุ้นปรับลดลง หากต้องการใช้เงินและต้องการขายหุ้นดังกล่าวออกไปอาจขายไม่ได้ เพราะไม่มีสภาพคล่อง

  1. ทุกอย่างไม่จีรัง ตลาดหุ้นก็เช่นเดียวกัน มีขึ้นก็ต้องมีลง มีกำไรต้องมีขาดทุน ธุรกิจมีช่วงรุ่งเรืองและมีช่วงลำบาก

“หากนักลงทุนเข้าใจประเด็นการลงทุน 5 ข้อ และตระหนักความจริง 4 ประการ จากนั้นนำมาวางแผนว่าจะวางกลยุทธ์ลงทุนอย่างไร โดยส่วนตัวคิดว่าหุ้นที่ลงทุนแล้วมีโอกาสทำกำไรควรเป็นธุรกิจที่ตัวเรารู้ดี เข้าใจมากที่สุด ขณะเดียวกัน หากเข้าใจสภาวะตลาดจะทำให้ระดับความคาดหวังอยู่ในระดับพอดีๆ” วีระพงษ์ กล่าว

วีระพงษ์ เล่าต่อไปว่าถึงแม้ตลาดหุ้นจะอยู่ในสภาวะแบบไหน “ผมไม่เคยหยุดลงทุน” แต่มีบ้างที่ต้องปรับพอร์ตลงทุนเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ “ตลาดแบบ Sideways เป็นจังหวะที่ผมชอบที่สุด เพราะมีเวลาให้เลือกลงทุน ส่วนตลาดขาลง คงไม่มีนักลงทุนคนไหนชอบ แต่ก็เป็นโอกาสของนักลงทุนบางคน ด้วยการมองหาหุ้นที่ราคาปรับลดลงต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง คือหาหุ้นที่ราคาลงเพราะ
Sentiment ไม่ใช่ลงเพราะพื้นฐานเปลี่ยน”

สล็อต

สำหรับคำแนะนำการเลือกหุ้น วีระพงษ์ประเมินภาพเศรษฐกิจโดยรวมจากนี้ไปจะแยกออกจากกันอย่างชัดเจนระหว่าง Old Economy กับ New Economy เช่นเดียวกันกับลักษณะของหุ้น ถ้าเป็นหุ้น Old Economy ก็จะเป็นอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่เกิดขึ้นมายาวนาน ส่วนหุ้นเทคโนโลยีจะเป็นฝั่ง New Economy

“ที่ผ่านมาหุ้น New Economy ราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นหุ้นประเภทเติบโต (Growth Stock) ส่วนหุ้น Old Economy ราคาหุ้นและ P/E Ratio เริ่มถูกลงเรื่อยๆ และหุ้นบางตัวเริ่มเป็นหุ้นคุณค่า (Value Stock) ซึ่งนักลงทุนหุ้นคุณค่าเชื่อว่าในระยะยาว หุ้นคุณค่าให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นเติบโต”

ดังนั้น จากนี้ไปนักลงทุนหุ้นค่าจะต้องมองหาหุ้น Old Economy ที่มีความสามารถปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดและขยายตัวต่อไปได้ภายใต้โลกสมัยใหม่ นั่นคือ สามารถนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาทำธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ หุ้นนักลงทุนควรดูข้อมูลเยอะๆเพื่อการลงทุน

“ในอดีต นักลงทุนหุ้นคุณค่าสร้างความมั่งคั่งขึ้นมาได้จากการเลือกลงทุนในธุรกิจ Old Economy ที่นำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาดำเนินธุรกิจ ดังนั้น จากนี้ไปมองว่า Old Economy ที่ปรับตัวได้ดีและรอดพ้นจากการถูก Disruption ด้วยการใช้เทคโนโลยีเข้ามาทำธุรกิจจะเป็นตัวเลือกที่ดีในการลงทุน”

You may also like...