ตลาดหุ้นไทยผ่านจุดต่ำสุดหรือยัง

ช่วงปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยเจอกับแรงกดดันมาโดยตลอด แต่จากนี้ไปปัจจัยกดดันจะเริ่มคลี่คลาย ทั้งเรื่องสงครามการค้า เงินเฟ้อชะลอตัว การเมืองที่นำไปสู่การเลือกตั้ง นโยบายเศรษฐกิจเดินหน้า ต่างชาติมีโอกาสกลับมาซื้อ

“หุ้นไทยผ่านจุดต่ำสุดและมีทิศทางที่ดีขึ้น” เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล. เอเซีย พลัส บอก โดยมีปัจจัยหลักๆ 2 องค์ประกอบ

พื้นฐานหุ้นไทยยังดี
ในงวด 9 เดือนแรกปีที่ผ่านมา บริษัทจดทะเบียนทำกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 8.1 แสนล้านบาท สำหรับแนวโน้มผลประกอบการไตรมาสสุดท้ายปีที่ผ่านมา คาดว่าจะชะลอตัวลง

สล็อตออนไลน์

“ปัจจัยหลักมาจากหุ้นกลุ่มขนาดใหญ่ เช่น พลังงาน มีแนวโน้มผลการดำเนินงานอ่อนตัวลง ที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับลดลง ทำให้ต้องมีการบันทึกขาดทุนสต็อกน้ำมัน มีผลกระทบทั้งธุรกิจปิโตรเลียม โรงกลั่น และปิโตรเคมี ส่วนพลังงานทดแทนมีโอกาสอ่อนตัวลง เนื่องจากเป็นช่วง Low Season ส่วนกลุ่มแบงก์พาณิชย์ คาดว่าจะมีประเด็นค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ จาก NPL ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น” เทิดศักดิ์ อธิบาย

อุตสาหกรรมที่คาดว่าจะเห็นผลประกอบการโดดเด่น ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก ตามมาด้วยกลุ่มท่องเที่ยว โรงแรม และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันปรับลดลง คือ ธุรกิจสายการบิน วัสดุก่อสร้าง

“ปีที่ผ่านมา ยังเชื่อว่าขีดความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนยังแข็งแกร่ง โดย คาดการณ์การเติบโตการทำกำไร (EPS Growth) ว่ายังเติบโตในระดับที่น่าพอใจ” เทิดศักดิ์ บอก

สำหรับกำไรสุทธิรวมปีนี้ เทิดศักดิ์ประเมินว่าน่าจะทำได้ 1.11 ล้านล้านบาท ลดลงประมาณ 2.86% จากปีที่ผ่านมา คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ที่ 112.2 บาท โดยการเติบโตการทำกำไร (EPS Growth) 3.3%

“เหตุผลที่กำไรปรับลดลง เพราะโครงสร้างการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน น้ำหนักส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงาน ซึ่งปีนี้ราคาน้ำมันเฉลี่ยจะต่ำกว่าปีที่ผ่านมา จึงกดดันผลประกอบการบริษัทกลุ่มพลังงาน ทำให้กดดันกำไรของบริษัททั้งตลาด”

jumboslot

ในปีนี้ เทิดศักดิ์ประเมินว่า P/E Ratio อยู่ที่ระดับประมาณ 14.4 เท่า เป็นระดับใกล้เคียงกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงใกล้เคียงกับตลาดพัฒนาแล้ว ยกเว้นตลาดหุ้นจีนที่ซื้อขายที่ระดับประมาณ 9.5 เท่า จากความกังวลประเด็นสงครามการค้าที่ได้รับผลกระทบโดยตรง

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณา PEG Ratio (P/E Ratio หาร EPS Growth) ของปีนี้ พบว่าตลาดหุ้นไทยมี PEG Ratio สูงถึง 4.4 เท่า สูงสุดเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคและสูงกว่าตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้ว

เงินลงทุนไหลเข้า (Fund Flow)
กรณีนี้ ไม่เฉพาะเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติเท่านั้นแต่รวมถึงเงินลงทุนจากสถาบันในประเทศด้วย ซึ่งที่ผ่านมาต่างชาติขายหุ้นไทยต่อเนื่องตั้งแต่กลางปี 2556 จนถึงปีที่ผ่านมา ขายออกไป 6.15 แสนล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศเป็นฝ่ายซื้อสุทธิ

การขายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สัดส่วนการถือครองหุ้นไทยของต่างชาติ เหลือเพียง 29.42% แบ่งเป็นการถือครองที่ปิดโอนในชื่อต่างชาติ 22.67% และถือครองผ่าน NDVR 6.75%

“การที่ต่างชาติ Underweight หนักๆ และระดับการถือครองหุ้นต่ำมากๆ ถ้าหากภาพการเมืองนิ่ง และมีปัจจัยบวก อาจเห็นต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทย” เทิดศักดิ์ ตั้งข้อสังเกต

เครดิตฟรี

สำหรับสถาบันในประเทศ จากเดิมที่ Overweight หุ้นไทย (ซื้อตลอด) แต่ปีนี้จะเป็นปีสุดท้ายที่จะซื้อ LTF เพื่อลดหย่อนภาษีได้ ถ้าสมมติว่าไม่มีการต่ออายุ LTF คำถามคือ ผู้ที่อยากขาย LTF จะมองอย่างไร

“ประเมินว่ามองได้ 2 กลุ่ม กลุ่มที่ซื้อเพราะต้องการสิทธิประโยชน์ภาษี หากครบอายุถือครองแล้ว มีโอกาสที่จะขายออกสูง ส่วนกลุ่มซื้อเพื่อลงทุนอาจมีอาการลังเลว่าจะขายหรือไม่ขาย แต่ปีหน้าเป็นต้นไปจะไม่มีเงินจาก LTF เข้าไปซื้อหุ้นไทย มีแต่เงินไหลออก ซึ่งน่าจะกดดันตลาดหุ้นไทยได้พอสมควร นั่นหมายถึง แรงหนุนจากสถาบันการเงินในประเทศจะลดลง” เทิดศักดิ์ กล่าว

ในมุมมองของเทิดศักดิ์ เชื่อว่าถ้านักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทย ขณะที่แรงซื้อจากสถาบันในประเทศลดลง “ถ้าเป็นแบบนี้ Fund Flow ยังคงมีความสมดุลอยู่ แต่ถ้าต่างชาติยังขายหุ้นไทยไม่หยุด จะกดดันหุ้นไทยต่อไป”

กรณีที่นักลงทุนต่างชาติเริ่มซื้อหุ้นไทย ขณะที่สถาบันในประเทศเริ่มแผ่ว เทิดศักดิ์ไม่กล้าให้ P/E Ratio ระดับสูงมาก “ประเมินด้าน Downside ที่ 14 เท่า Upside ที่ระดับ 16 เท่า และจากผลประกอบการดังกล่าว ดัชนีหุ้นไทยฝั่ง Downside จะอยู่ 1,570 จุด ดังนั้น ดัชนีหุ้นยังอยู่แถวๆ 1,600 จุด มองว่าลงทุนได้ ส่วนกรอบบนอยู่ที่ 1,795 จุด”

คำถามถัดมาคือ หุ้นไทยปีนี้จะสร้างผลตอบแทนมากน้อยแค่ไหน สมมติว่าถ้าซื้อที่ดัชนีหุ้นไทย 1,600 จุด แล้วไปขายที่ 1,795 จุด จะได้ผลตอบแทนประมาณ 12% “ถ้ามองจาก Expect Return ระดับนี้ก็ถือว่าโอเค เพียงแต่ระยะเวลาการลงทุนในการคาดหวังผลตอบแทน เหมาะสมกับการลงทุนระยะยาวมากกว่าการลงทุนระยะสั้น”

สล็อต

เทิดศักดิ์ มองว่าในระยะสั้นๆ ยังมีปัจจัยลบคอยรบกวนตลอดเวลา ดังนั้น การคาดการณ์จึงทำได้ยากมาก “กลยุทธ์ที่ดี คือ รอให้ดัชนีหุ้นปรับย่อลงมาใกล้โซน Downside จะเป็นโซนที่เข้าซื้อ แล้วขายทำกำไรเมื่อดัชนีเข้าใกล้โซน Upside”

สำหรับนักลงทุนลงทุนระยะสั้น ในปีนี้อาจจะมีความเสี่ยงค่อนข้างสูงเพราะยังมีปัจจัยเสี่ยงคอยกดดัน “กลยุทธ์ที่ดี คือ หาหุ้นปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งแล้วลงทุนระยะยาว ส่วนการลงทุนตามกระแสไม่ควรทำแล้ว”

ส่วนหุ้นที่น่าสนใจในปีนี้ คือ หุ้นที่เติบโตไปตามเศรษฐกิจไทย หรือ Domestic Plays ที่สำคัญเลือกตัวแทนของแต่ละกลุ่มที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งเพียงหนึ่งเดียว เช่น ธุรกิจค้าปลีกมีหลายบริษัทก็เลือกลงทุน 1 บริษัท แบงก์มีหลายแห่งก็เลือกเพียง 1 แห่ง เป็นต้น และยิ่งหุ้นตัวนั้นจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอก็น่าสนใจมากยิ่งขึ้น การลงทุนมีความเสี่ยงนักลงทุนควรพิจารณา

You may also like...